ค. การปรับปรุงทางด้านสังคม
ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะปรับปรุงประเทศตามแนวทางที่สหรัฐอเมริกาได้วางไว้ในสมัยการยึดครองสืบต่อมา ที่มีผลให้ระบบการเมืองของญี่ปุ่นเป็นระบอบประชาธิปไตย และระบบเศรษฐกิจเป็นระบบเสรีนิยมตามแบบสหรัฐอเมริกาก็ตาม แต่ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม คนญี่ปุ่นยังคงถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในเขตชนบท ดังนั้นถึงแม้ญี่ปุ่นจะมีระบบการเมืองใหม่และมีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นหลังการยึดครองก็ยังคงให้ความสำคัญกับขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่มาก เช่น มีการจัดตั้งสมาคมรักษาประเพณีเดิมขึ้น ชื่อว่าสมาคมสร้างค่านิยม ใน ค.ศ. ๑๙๕๐ (เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า สมาคมโซกะ งักได) ที่มีจุดมุ่งหมายให้คนญี่ปุ่นยึดมั่นอยู่ในศาสนาพุทธนิกายนิซิเร็น ที่สอนให้คนมุ่งช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามแนวทางการดำเนินชีวิตแบบเดิมของญี่ปุ่น
ในด้านการศึกษา จากการนำเอาระบบการศึกษาแบบใหม่มาใช้ตั้งแต่สมัยการยึดครอง นับว่ามีผลต่อสังคมญี่ปุ่นมาก เพราะการศึกษาแบบใหม่เน้นความสำคัญของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะในเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคลทำให้เกิดความตื่นตัวในหมู่คนญี่ปุ่น เกิดความกล้าแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาต่างๆ เป็นการช่วยส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของญี่ปุ่นมากขึ้น
ในช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้ายึดครอง ญี่ปุ่นเกิดมีปัญหาทางสังคมที่สำคัญประการหนึ่ง โดยเฉพาะในระยะแรกๆ หลังสงคมยุติ นั่นคือ ปัญหาจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลหลายประการ เช่น มีคู่สมรสใหม่จำนวนมาก รวมทั้งคู่สมรสเก่าที่กลับมาพบกันหลังสงคราม และชาวญี่ปุ่นอยู่นอกประเทศในระหว่างสงครามได้เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนภายหลังสงครามยุติลง คนเหล่านี้เองที่ทำให้จำนวนประชากรของญี่ปุ่นล้นหลาม จนทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น ที่ดินทำกินไม่เพียงพอ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ทั้งฝ่ายสหรัฐอเมริกาผู้ยึดครองและฝ่ายรัฐบาลญี่ปุ่น ต่างตระหนักถึงปัญหาประชากรนี้ จึงได้มีการพยายามชะลออัตราการเกิดของชาวญี่ปุ่นตลอดมา และสามารถทำได้สำเร็จตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๐ เป็นต้นมา
ง. การปรับปรุงทางด้านการต่างประเทศ
นับตั้งแต่ญี่ปุ่นได้เอกราชในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๕๒ เป็นต้นมา นอกจากแนวทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ซึ่งญี่ปุ่นมักจะดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับสหรัฐอเมริกาตลอดเวลา เช่น การสนับสนุนนโยบายของสหรัฐอเมริกาในการรับรองสาธารณรัฐจีน ในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นก็ยังต้องหาทางฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่างๆ ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนก่อนสมัยที่จะเกิดสงคราม โดยจะต้องแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่กับประเทศต่างๆ คือ
๑. ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา การสิ้นสุดการยึดครองทำให้ญี่ปุ่นมีฐานะเป็นประเทศเอกราชอย่างสมบูรณ์ในทางกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติแล้วแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะสหรัฐอเมริกายังได้รับสิทธิที่จะมีฐานทัพอยู่ในประเทศญี่ปุ่นต่อไป ตามข้อตกลงที่ทำกันในสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกันของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ในวันที่ ๘ กันยายน ค.ศ. ๑๙๕๑ การคงฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่นต่อไปนี้ทำความไม่พอใจให้แก่คนญี่ปุ่นอย่างมาก เพราะทำให้คนญี่ปุ่นมีความรู้สึกว่า ประเทศของตนยังไม่เป็นอิสระหรือได้รับเอกราชที่สมบูรณ์ ยิ่งกว่านั้น ยังมีข้อตกลงที่คนญี่ปุ่นไม่พอใจอย่างมาก คือ สหรัฐอเมริกามีสิทธิที่จะใช้กำลังทหารอเมริกันที่อยู่ในญี่ปุ่นเข้าปราบปรามการจลาจลในญี่ปุ่นได้ หากได้รับการร้องของจากรัฐบาลญี่ปุ่น อันเป็นการให้สิทธิแก่ต่างชาติเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ ทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียอำนาจอธิปไตย นอกจากนั้นการคงอยู่ของฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่นอาจจะไม่เป็นผลดีแก่ญี่ปุ่น เพราะสหรัฐอเมริกาอาจจะนำญี่ปุ่นเข้าร่วมสงครามที่ญี่ปุ่นไม่ต้องการก็ได้
ความไม่พอใจของคนญี่ปุ่นต่อสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกันนี้ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องหาทางแก้ไขสนธิสัญญาเมื่อครบกำหนด ๑๐ ปี ความรู้สึกของคนญี่ปุ่นที่มีต่อสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มที่ไม่เป็นมิตรมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่เป็นการทำลายความสัมพันธ์อันดีของประเทศทั้งสองที่เคยมีมา เช่น ความไม่พอใจจากการที่สหรัฐอเมริกามีนโยบายเพิ่มกำลังทหารอเมริกันในญี่ปุ่นเนื่องจากสงครามเกาหลี ความไม่พอใจเนื่องจากปัญหาสารกัมมันตภาพรังสีจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาบนเกาะนิวกีนีในมหาสมุทรแปซิฟิก ในวันที่ ๑ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๕๔ ซึ่งมีผลทำให้ลูกเรือหาปลาชาวญี่ปุ่นเสียชีวิต นอกจากนั้น ยังมีข้อพิพาทกรณีย่อยๆ ที่เกิดขึ้นเสมอๆ ที่เป็นความขัดแย้งระหว่างทหารอเมริกันกับคนญี่ปุ่น เช่น การทำงานร่วมกันระหว่างทหารอเมริกันกับคนงานญี่ปุ่นที่เป็นลูกจ้างอยู่ในฐานทัพ ตลอดจนข้อพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ในฐานทัพอเมริกันกับชาวนารอบๆ ฐานทัพ เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ความขัดแย้งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงและเดินขบวนต่อต้านสหรัฐอเมริกาอยู่บ่อยครั้ง อันเป็นเครื่องยืนยันว่าความรู้สึกต่อต้านสหรัฐอเมริกาของญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น เมื่อสนธิสัญญาความมั่นคงฉบับแรกใกล้หมดอายุลงในระยะ ๑๐ ปี รัฐบาลทั้ง ๒ ประเทศได้เริ่มการเจรจาแก้ไขใหม่ ใน ค.ศ. ๑๙๖๐ แต่ผลจากการเจรจาปรากฏว่ารัฐบาลของทั้ง ๒ ประเทศ ยังคงมีความต้องการที่จะต่ออายุสัญญาออกไปอีก ๑๐ ปี เพราะต่างเห็นว่ายังมีประโยชน์ต่อกันอยู่ สหรัฐอเมริกาเองก็มีความต้องการที่จะคงฐานทัพอยู่ในญี่ปุ่นต่อไปเพื่อรักษาสันติภาพทางเอเชีย ส่วนญี่ปุ่นต้องการความคุ้มครองทางด้านการทหาร และขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการให้เงินมาดำเนินการในเรื่องนี้ การให้ฐานทัพสหรัฐอเมริกายังคงอยู่ต่อไปก็เป็นการประหยัดเงิน ญี่ปุ่นจะได้ใช้เงินไปในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมให้มากขึ้น ดังนั้น เมื่อผลประโยชน์ตรงกัน การเจรจาของทั้ง ๒ ประเทศ จึงนำไปสู่การตกลงต่ออายุสนธิสัญญานี้ออกไปอีก ๑๐ ปี โดยจะหมดอายุใน ค.ศ. ๑๙๗๐
๒. ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต ญี่ปุ่นกับสหภาพโซเวียตนั้นมีความขัดแย้งกันอยู่มากตลอดมา ทั้ง ๒ ฝ่ายเคยทำสงครามกันมาตั้งแต่ก่อนที่สหภาพโซเวียตจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในระหว่าง ค.ศ. ๑๙๐๔ - ๑๙๐๕ โดยญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะ ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ สหภาพโซเวียตได้ถือโอกาสระหว่างที่ญี่ปุ่นอยู่ในภาวะที่ใกล้จะแพ้ ประกาศสงครามกับญี่ปุ่นใน ค.ศ. ๑๙๔๕ ทันที ทำให้สหภาพโซเวียตมีฐานะเป็นประเทศผู้ชนะสงครามด้วยประเทศหนึ่ง ต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๕๐ สหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ตกลงกันทำสนธิสัญญาร่วมมือทางด้านการทหารเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น และเมื่อมีการประชุมเพื่อทำสัญญาสันติภาพที่เมืองแซนแฟรนซิสโก ใน ค.ศ. ๑๙๕๑ สหภาพโซเวียตได้ปฏิเสธที่จะร่วมลงนามรับรู้ในข้อตกลงกับญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถตกลงปัญหาความขัดแย้งต่างๆ เพื่อยุติสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับสหภาพโซเวียตได้โดย โกรมิโก ผู้แทนสหภาพโซเวียตได้กล่าวโจมตีสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวอย่างรุนแรง
ต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๕๔ สหภาพโซเวียตและญี่ปุ่นได้เปิดการเจรจาทางการทูตกันขึ้น โดยญี่ปุ่นได้ยื่นข้อเสนอ ๔ ประการ คือ
ก. ขอสิทธิจับปลาในน่านน้ำของสหภาพโซเวียต
ข. ขอคืนเกาะ ๔ เกาะทางตอนเหนือของหมู่เกาะฮอกไกโด ได้แก่ เกาะฮาโบไม (Habomai) ชิโกตัน (Shikotan) กุนาชิริ (Kunashiri) และเอโตโรฟุ (Etorofu) พร้อมทั้งหมู่เกาะแซคาลินและหมู่เกาะคูริล ซึ่งสหภาพโซเวียตยึดครองไว้หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลง
ค. ขอให้สหภาพโซเวียตสนับสนุนญี่ปุ่น ในการสมัครเข้าไปเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
ง. ขอให้ส่งคืนเชลยศึกชาวญี่ปุ่นที่สหภาพโซเวียตคุมขังไว้ที่ไซบีเรีย
แต่การเจรจากลับไม่สามารถตกลงกันในข้อใดๆ ได้เลย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและสหภาพโซเวียตมีแนวโน้มไปในทางลบ สหภาพโซเวียตก็ได้ใช้นโยบายที่รุนแรงต่อญี่ปุ่น เช่น เมื่อญี่ปุ่นสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ใน ค.ศ. ๑๙๕๕ สหภาพโซเวียตก็ใช้สิทธิยับยั้งในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงญี่ปุ่นจึงเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติไม่ได้ นโยบายต่อต้านญี่ปุ่นของสหภาพโซเวียตมีผลให้ญี่ปุ่นต้องยอมอ่อนข้อให้ โดยการเสนอขอเปิดการเจรจากับสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. ๑๙๕๕ การเจรจาครั้งที่ทั้ง ๒ ประเทศสามารถตกลงกันเรื่องสิทธิการจับปลาเป็นผลสำเร็จ แต่ปัญหาเรื่องขอเกาะคืนจากสหภาพโซเวียตยังไม่เป็นผล
จากข้อตกลงที่ทำกันได้ในบางเรื่อง ทำให้สหภาพโซเวียตยกเลิกการใช้สิทธิยับยั้งในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติของญี่ปุ่นใน ค.ศ. ๑๙๕๖ ญี่ปุ่นจึงได้เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปัญหาที่นับว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสองที่ยังคงดำรงอยู่ คือ การที่สหภาพโซเวียตไม่ยอมคืนเกาะให้แก่ญี่ปุ่นตามคำขอ
๓. ความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยทั่วไปแล้วนับว่าคนญี่ปุ่นมีความรู้สึกเป็นมิตรต่อสาธารณรัฐประชาชนจีนมากกว่าต่อสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต เพราะได้มีการติดต่อกันมาเป็นเวลานานและญี่ปุ่นได้ยอมรับวัฒนธรรมจีนไว้เป็นอันมาก นอกจากนั้น ด้านความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติก็มีความใกล้ชิดกัน อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ การที่สาธารณรัฐประชาชนจีนไม่มีนโยบายเรื่องการขยายอำนาจในช่วง ค.ศ. ๑๙๕๑ - ๑๙๖๐ เพราะอยู่ในระยะเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างหนักตามโครงการก้าวกระโดดไกล (ค.ศ. ๑๙๕๗ - ๑๙๖๐) ทำให้ญี่ปุ่นไม่เห็นอันตรายจากจีน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับท่าทีของสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินนโยบายเป็นจักรวรรดินิยมมากขึ้น นอกจากนั้น ญี่ปุ่นยังคำนึงถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ญี่ปุ่นจะได้รับจากการติดต่อกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เพราะสาธารณรัฐประชาชนจีนมีประชากรมากและจะสามารถเป็นตลาดรับซื้อสินค้าอุตสาหกรรมจากญี่ปุ่นได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีดินแดนอันกว้างใหญ่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวัตถุดิบที่ล้วนแต่เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ญี่ปุ่นต้องการนำมาใช้ในกิจการอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีความคิดอีกด้วยว่าตนควรจะยอมรับผิดและขออภัยต่อสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับความยุ่งยากที่กองทหารญี่ปุ่นได้กระทำไว้ต่อประเทศจีน ซึ่งปรากฏว่าในระหว่าง ค.ศ. ๑๙๓๗ - ๑๙๔๕ ที่ญี่ปุ่นรุกรานแผ่นดินใหญ่จีน ได้สังหารผู้คนไปประมาณ ๑๑ - ๑๕ ล้านคน ทำให้คนราว ๖๐ ล้านคน ไร้ที่อยู่อาศัยและทำความเสียหายมีมูลค่าถึงประมาณ ๖๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ ญี่ปุ่นจึงต้องการเจรจาปัญหาค่าปฏิกรรมสงครามตามที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเรียกร้อง
ด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงต้องการจะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นอย่างมาก แต่ญี่ปุ่นก็มีอุปสรรคในเรื่องนี้อยู่ ทั้งนี้มีสาเหตุสำคัญ ๔ ประการ คือ
ก. สาธารณรัฐประชาชนจีนไม่ได้เข้าร่วมประชุมที่เมืองแซนแฟรนซิสโก ใน ค.ศ. ๑๙๕๑ เพื่อทำสนธิสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่นร่วมกับประเทศอื่นๆ ทำให้ปัญหาเกี่ยวกับผลของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับญี่ปุ่นยังไม่ได้เจรจาตกลงกัน
ข. ญี่ปุ่นมีข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการดำเนินนโยบายต่างประเทศว่า จะต้องให้เป็นไปตามความต้องการของสหรัฐอเมริกา แต่การที่สหรัฐอเมริกามีนโยบายไม่เป็นมิตรกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้ญี่ปุ่นมีไมตรีกับสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่ได้เพราะเป็นการขัดต่อนโยบายของสหรัฐอเมริกา
ค. ญี่ปุ่นได้ทำสัญญากับสาธารณรัฐจีนที่พร้อมจะให้การรับรองไต้หวันเป็นเอกเทศ ใน ค.ศ. ๑๙๕๒ โดยรับรองรัฐบาลสาธารณรัฐจีนที่ไต้หวันและสถาปนาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่าง ๒ ประเทศขึ้น ทำให้นโยบายของญี่ปุ่นที่ต้องการจะมีความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนมีอุปสรรค
ง. เป็นเพราะญี่ปุ่นกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับสหภาพโซเวียตเพื่อขอทำสัญญาสันติภาพ ด้วยญี่ปุ่นต้องการเกาะคูริล เกาะแซคาลิน และหมู่เกาะทางตอนเหนือ รวมทั้ง เกาะฮาโบไม ชิโกตัน กูนาชิริ และเอโตโรฟุ คืนจากสหภาพโซเวียต โดยเหตุนี้ ถ้าญี่ปุ่นดำเนินนโยบายทำสนธิสัญญาสันติภาพกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอาจมีผลต่อการเจรจากับสหภาพโซเวียตได้ เพราะสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังมีแนวโน้มจะเป็นศัตรูกัน ซึ่งอาจทำให้โอกาสที่ญี่ปุ่นจะขอเจรจากับสหภาพโซเวียตเพื่อขอหมู่เกาะต่างๆ คืนล้มเหลวตามไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ การที่ญี่ปุ่นต้องการสถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงมีอุปสรรคอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ในที่สุดญี่ปุ่นก็ต้องตัดสินใจเลือกประเทศใดประเทศหนึ่งที่ญี่ปุ่นเห็นว่าจะเป็นอันตรายต่อญี่ปุ่นน้อยกว่า ในขณะเดียวกันก็เป็นประโยชน์คุ้มค่าต่อญี่ปุ่นด้วย ดังนั้น ใน ค.ศ. ๑๙๖๐ เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหภาพโซเวียตมีความขัดแย้งกันมากขึ้นอันเป็นผลให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจบางประการเสียใหม่ เช่น ยกเลิกการซื้อสินค้าจากสหภาพโซเวียตโดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม จึงต้องหันมาพึ่งพาประเทศโลกเสรีมากขึ้น ญี่ปุ่นจึงเริ่มเจรจาติดต่อทางการค้าอย่างไม่เป็นทางการกับสาธารณรัฐประชาชนจีน การมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนดังกล่าว เท่ากับญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศมากที่สุดนั่นเอง
๔. ความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ จุดมุ่งหมายสำคัญของญี่ปุ่นที่ต้องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศอื่นๆ ก็เพื่อเป็นหนทางนำไปสู่การมีสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจที่จะเป็นผลประโยชน์ต่อญี่ปุ่น สาเหตุสำคัญที่จะเป็นอุปสรรคแก่ญี่ปุ่น คือ การที่บรรดาประเทศที่เคยถูกญี่ปุ่นรุกรานในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยังมีความเกลียดชังญี่ปุ่นอยู่ ทั้งยังมีความหวดกลัวการฟื้นฟูลัทธินิยมทหารของญี่ปุ่นด้วย จึงไม่ต้องการจะเป็นมิตรกับญี่ปุ่นอย่างง่ายๆ ดังนั้น เพื่อแก้ไขภาพพจน์และทัศนคติดังกล่าวญี่ปุ่นจึงต้องเป็นฝ่ายยอมรับด้วยการตกลงยินยอมจ่ายเงินค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่ประเทศต่างๆ ที่ถูกญี่ปุ่นรุกรานในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นการชดใช้ความเสียหายที่เกิดต่อชีวิตและทรัพย์สินของประเทศเหล่านั้น และเป็นการลดความเกลียดชังญี่ปุ่นให้น้อยลง เช่น ในกรณีของประเทศไทยก็สามารถตกลงค่าปฏิกรรมสงครามกับญี่ปุ่นได้ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๕ โดยได้รับการชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๙,๖๐๐ ล้านเยน ซึ่งญี่ปุ่นขอชำระเป็นงวดๆ ภายในเวลา ๘ ปี โดยเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๖๒ เป็นต้นมา นอกจากนั้น ญี่ปุ่นก็ได้เริ่มจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่พม่าเป็นประเทศแรกใน ค.ศ. ๑๙๕๔ ฟิลิปปินส์ใน ค.ศ. ๑๙๕๖ อินโดนีเซียใน ค.ศ. ๑๙๕๘ และเวียดนามใน ค.ศ. ๑๙๕๙ ผลการยอมรับการชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามของญี่ปุ่น นอกจากจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศเหล่านั้นดีขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ญี่ปุ่นได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอีกด้วย เพราะการจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามนั้น ญี่ปุ่นไม่ได้กระทำในรูปการให้เงินช่วยเหลือเท่านั้น แต่ได้กระทำในลักษณะของการลงทุนทางการค้า ซึ่งญี่ปุ่นถือเป็นการช่วยเหลืออีกรูปแบบหนึ่งด้วย การลงทุนในลักษณะดังกล่าวในแง่หนึ่งได้ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่ญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือ แต่ในอีกแง่หนึ่งญี่ปุ่นเองก็ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนด้วย เช่น การช่วยตั้งโรงงานผลิตอาวุธในฟิลิปปินส์ใน ค.ศ. ๑๙๖๘ ทำให้ฟิลิปปินส์ต้องสั่งซื้ออุปกรณ์การผลิตต่างๆ จากญี่ปุ่นต่อไปในระยะยาว เป็นต้น ญี่ปุ่นจึงได้ตลาดการค้าเพิ่มขึ้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในต่างประเทศจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว