สถาณการณ์ทั่วไปก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ การปกครองของราชวงศ์แมนจูเสื่อมอำนาจลงอย่างเห็นได้ชัด ประเทศมหาอำนาจต่างๆ เข้ามากอบโกยผลประโยชน์และเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของจีน โดยที่รัฐบาลจีนไม่สามารถจะป้องกันได้ ด้วยเหตุนี้ ชาวจีนจึงไม่พอใจราชวงศ์แมนจู ต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๐๕ ดร.ซุนยัตเซน (Sun Yat Sen) ได้ร่วมก่อตั้งสหพันธ์เพื่อเอกภาพชื่อ ตุงเม่งฮุย (Tung Meng Hui) ขึ้นใน ญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องให้ชาวจีนโค่นล้มราชวงศ์แมนจูและก่อตั้งสาธารณรัฐจีน ดร.ซุนยัตเซนได้ออกหนังสือพิมพ์หมิน เป้า (Min Pao) เพื่อเผยแพร่แนวความคิดในหมู่นักศึกษาชาวจีนที่ศึกษาอยู่ในประเทศญี่ปุ่นระหว่าง ค.ศ. ๑๙๐๕ - ๑๙๑๑ ดร.ซุนยัตเซนได้เดินทางไปยังยุโรปและสหรัฐอเมริกาโดยได้รับความช่วยเหลือจากชาวจีนโพ้นทะเลเป็นอย่างดี ขณะที่ ดร.ซุนยัตเซนขยายแนวคิดปฏิวัติอยู่ในต่างประเทศนั้น สหพันธ์เพื่อเอกภาพได้ก่อการจลาจลต่อต้านราชวงศ์แมนจูขึ้นหลายครั้งในภาคใต้ของประเทศจีน แต่ก็ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งมีการลุกฮือขึ้นทำการปฏิวัติเป็นครั้งที่ ๑๐ ที่เมืองวูชาง (Wuchang) มนฑลเหอเป่ย (Hupeh) ในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๑๑ จึงประสบผลสำเร็จ ขณะนั้น ดร.ซุนยัตเซนยังอยู่ในสหรัฐอเมริกา เมื่อได้รับทราบข่าวจึงรีบเดินทางกลับประเทศจีน และปีต่อมา ซุนยัตเซนได้ร่วมกับผู้มีแนวความคิดนิยมระบอบสาธารณรัฐก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นคือ พรรคก๊กมินตั่ง (Kuomintang) หลังจากนั้นก็ได้ติดต่อกับยวนซีไข (Yuan Shih K’ai) ซึ่งขณะนั้นยังเป็นผู้บัญชาการทางทหารของฝ่ายแมนจู ให้ใช้อำนาจทางทหารของตนบีบบังคับให้จักรพรรดิแห่งราชวงศ์แมนจูสละราชสมบัติ เหตุผลที่ยวนซีไขยอมทรยศต่อฝ่ายแมนจูก็เพราะเขาเป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูง ประกอบกอบชาวจีนเสื่อมอำนาจลง และขณะนั้น ยวนซีไขเป็นผู้ที่อยู่ในฐานสามารถจะชี้ขายผลการต่อสู้ได้เพราะหากเขาตัดสินใจเข้าข้างฝ่ายใด ฝ่ายนั้นย่อมได้เปรียบทันที ดังนั้น เมื่อยวนซีไขมองเห็นลู่ทางที่ตนจะขึ้นมามีอำนาจเสียเอง จึงได้ฉวยโอกาสรับข้อเสนอของฝ่ายขบวนการปฏิวัติทันที
เมื่อกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์แมนจู คือ พระเจ้าชวนทังยอมสละราชสมบัติใน ค.ศ. ๑๙๑๒ คณะปฏิวัติได้เลือกยวนซีไขให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่การที่ยวนซีไขมีความต้องการปกครองประเทศแบบเผด็จการ ทำให้ขัดแย้งกับคณะปฏิวัติที่มีอุดมการณ์จะให้ประเทศจีนมีการปกครองแบบรัฐสภา โดยมีสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ซุนยัตเซนซึ่งเป็นผู้นำคนสำคัญของคณะปฏิวัติและเคยเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีน จึงได้ทำการปฏิวัติครั้งที่ ๒ ใน ค.ศ. ๑๙๑๓ แต่ซุนยัตเซนเป็นฝ่ายแพ้หนีไปอยู่ญี่ปุ่น จึงเหลือแต่คณะพรรคก๊กมิตั่ง (พรรคคณะชาติ) ยวนซีไขจึงประกาศยุบรัฐสภาและยุบคณะพรรคก๊กมินตั่งด้วย แล้วรวมอำนาจการปกครองไว้ที่ส่วนกลางทั้งหมด ประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยให้อำนาจส่วนใหญ่อยู่ในความควบคุมของฝ่ายบริหาร ความเข้มแข็งของยวนซีไขและความสามารถในการควบคุมกำลังทหารทำให้ประเทศมหาอำนาจในเวลานั้น คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาต่างก็ให้การสนับสนุนยวนซีไข จึงทำให้ฐานะของยวนซีไขมั่นคง จีนได้พยายามที่จะปรับปรุงประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าตามแบบญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เพราะนับได้ว่าญี่ปุ่นอยู่ในฐานะเป็นมหาอำนาจในเอเชีย เห็นได้จากการที่ญี่ปุ่นมีชัยในสงครามรุสเซีย - ญี่ปุ่น ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๐๔ - ๑๙๐๕ แต่ความพยายามของจีนก็ไม่ประสบผลสำเร็จจนกระทั่งเกิดการปฏิวัติ ค.ศ. ๑๙๑๑ หลังจากปฏิวัติสถานการณ์ภายในของจีนก็ยิ่งเลวร้ายลงด้วยเหตุผลต่อไปนี้ คือ
(๑) สถานการณ์ภายในจีนเองไม่มีความมั่นคง เนื่องจากความแตกแยกมีมากในระดับผู้บริหารของจีน เช่น การขัดแย้งทางความคิดในการปกครองระหว่างยวนซีไขและซุนยัตเซน เป็นต้น
(๒) ทางเศรษฐกิจได้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน เพราะเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ จีนต้องปรับปรุงประเทศมาก ทำให้จีนต้องกู้เงินจากต่างประเทศเป็นจำนวนมากเพื่อมาใช้ในการนี้ จึงเกิดความตกต่ำทางเศรษฐกิจและเป็นหนี้เพิ่มมากขึ้น
(๓) สถานการณ์นอกประเทศไม่มีผลดีต่อจีน เพราะเสถียรภาพของจีนถูกคุกคามโดยทุกประเทศที่เข้ามาติดต่อเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะสหภาพโซเวียตและญี่ปุ่นซึ่งต้องการที่จะมีอิทธิพลเด็ดขาดในแมนจูเรีย
ฐานะของจีนเริ่มดีขึ้นเมื่อจีนเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ ๑ โดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้จีนได้รับผลตอบแทนบ้างเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรมีชัยในสงคราม เช่น ได้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตคืนมาจากประเทศที่แพ้สงคราม ได้เขตสัมปทานคืนจากเยอรมนีและประเทศสัมพันธมิตร ได้ยึดเวลาชำระค่าปรับที่มีผลมาจากกบฏนักมวย* ออกไปอีก ๕ ปี ที่มากกว่านั้นก็คือ สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาช่วยเหลือจีนมากขึ้น ในฐานะที่สหรัฐอเมริกาได้เป็นผู้รับรองเอกราชและเสถียรภาพของจีนตั้งแต่ต้นตามนโยบาย “เปิดประตู” ใน ค.ศ. ๑๘๙๙** สหรัฐอเมริกาได้จัดการประชุม ๙ ประเทศขึ้นที่กรุงวอชิงตัน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๒๑ - กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๒๒ ที่ประชุมประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี เบลเยียม ฮอลแลนด์ จีน ญี่ปุ่น และโปรตุเกส เพื่อลดกำลังอาวุธ และพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับตะวันออก ผลการประชุมปรากฏว่า ประเทศที่เข้าประชุมก็รับว่าจะเคารพเอกราชอธิปไตยและการปกครองภายในของจีน และให้จีนเป็นประเทศเปิดตามที่สหรัฐอเมริกาต้องการ การตกลงครั้งนี้ทำให้ฐานะของจีนดีขึ้น เพราะญี่ปุ่นยอมคืนแหลมชานตุง และอังกฤษยอมคืนเวไฮเว่ให้แก่จีน
*กบฏนักมวยเกิดใน ค.ศ. ๑๙๐๐ มีอุดมการณ์ที่จะกวาดล้างชาวต่างชาติให้หมดสิ้นไป ได้มีการปล้น เผาบ้านเรือนของชาวคริสเตียน และเข้ายึดสถานที่ทำการของชาวต่างชาติ แต่ในที่สุดกองทัพของชาวต่างชาติก็ได้ทำลายกำลังของนักมวยลง กบฏครั้งนี้แสดงถึงความรู้สึกชาตินิยมของจีน แต่ผลจากการพ่ายแพ้ทำให้จีนต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมาก (พร้อมทั้งดอกเบี้ยในระยะเวลา ๓๙ ปี คิดเป็นจำนวนทั้งหมดเกือบ ๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์) และยอมให้กองทหารต่างชาติมาอยู่ในจีน นอกจากนั้นจีนยังต้องลงโทษผู้กระทำผิดกับทั้งต้องยอมยกดินแดนบางส่วนให้สหภาพโซเวียต เพื่อแลกกับการที่สหภาพโซเวียตต้องถอนทหารออกจากทางเหนือของจีน
**จุดประสงค์นโยบาย “เปิดประตู” ของสหรัฐอเมริกา ก็คือ การที่สหรัฐอเมริกาต้องการที่จะเปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันระหว่างนานาชาติในการติดต่อกับจีน โดยมีหลักการว่า
(๑) จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารของจีนในเขตเช่านั้นๆ
(๒) จะไม่ขัดขวางการเก็บภาษีศุลกากรของจีน
(๓) จะไม่ตั้งอัตราค่าโดยสารรถไฟ หรือค่าธรรมเนียมท่าเรือ (แตกต่างไปจากที่กำหนดไว้) ด้วยเหตุนี้ ก็เท่ากับว่าสหรัฐอเมริกาเข้ามาสร้างความยุติธรรมให้แก่จีนในการติดต่อกับต่างชาติ และบรรดาชาติยุโรปจะร่วมรักษาเอกราชและบูรณภาพแห่งดินแดนจีนร่วมกัน แต่เมื่อฐานะระหว่างประเทศของจีนดีขึ้น สถานการณ์ภายในกลับเป็นอุปสรรคต่อจีนอีกเพราะมีความวุ่นวายที่ทำให้จีนไม่สามารถตั้งตัวได้เลย ทั้งนี้เป็นผลจากการที่ยวนซีไข ถึงแก่กรรมใน ค.ศ. ๑๙๑๖ จีนตกอยู่ในยุคขุนศึกซึ่งแย่งชิงอำนาจกันเอง เกิดความปั่นป่วนทางการเมืองภายในประเทศกินเวลาถึง ๓ ปี จนในที่สุด ซุนยัตเซนได้รวมกำลังตั้งพรรคก๊กมินตั่งขึ้นอีกที่เมืองกวางตุ้ง เขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี จีนจึงแตกแยกออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ จีนเหนือและจีนใต้ จีนใต้ซึ่งมีซุนยัตเซนเป็นผู้นำ มีนโยบายขอความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตในการปรับปรุงประเทศ และได้รับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ามาในพรรคก๊กมินตั่งใน ค.ศ. ๑๙๒๔ ซุนยัตเซนปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรวมประเทศ จึงได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อเจรจาที่จะรวมจีนให้มีเอกภาพ แต่ซุนยัตเซนเริ่มป่วยหนัก และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๒๕ เจียงไคเช็ค (Chiang Kai Shek) ซึ่งได้รับการศึกษาจากญี่ปุ่นได้เป็นผู้นำพรรคก๊กมินตั่งคนต่อมา เขาได้พยายามปราบจีนทางเหนือ และเมื่อตีปักกิ่งได้ ก็ได้สถาปนาเมืองหลวงไปอยู่ที่นานกิงใน ค.ศ. ๑๙๒๘ แต่เจียงไคเช็คก็ยังเผชิญกับความแตกแยกภายใน อันเนื่องมาจากการเริ่มมีอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และปัญหาภายนอกอันเนื่องมาจากการคุกคามของญี่ปุ่นเป็นสำคัญ
โดย นฤมิตร สอดสุข สมพร ไกรฤทธิ์ มนัส เกียรติธารัย
วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555
ประเทศญี่ปุ่นหลังการยึดครอง (ค.ศ. ๑๙๕๒ - ๑๙๖๐) ตอนที่ 2
ค. การปรับปรุงทางด้านสังคม
ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะปรับปรุงประเทศตามแนวทางที่สหรัฐอเมริกาได้วางไว้ในสมัยการยึดครองสืบต่อมา ที่มีผลให้ระบบการเมืองของญี่ปุ่นเป็นระบอบประชาธิปไตย และระบบเศรษฐกิจเป็นระบบเสรีนิยมตามแบบสหรัฐอเมริกาก็ตาม แต่ในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม คนญี่ปุ่นยังคงถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในเขตชนบท ดังนั้นถึงแม้ญี่ปุ่นจะมีระบบการเมืองใหม่และมีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นหลังการยึดครองก็ยังคงให้ความสำคัญกับขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่มาก เช่น มีการจัดตั้งสมาคมรักษาประเพณีเดิมขึ้น ชื่อว่าสมาคมสร้างค่านิยม ใน ค.ศ. ๑๙๕๐ (เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า สมาคมโซกะ งักได) ที่มีจุดมุ่งหมายให้คนญี่ปุ่นยึดมั่นอยู่ในศาสนาพุทธนิกายนิซิเร็น ที่สอนให้คนมุ่งช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามแนวทางการดำเนินชีวิตแบบเดิมของญี่ปุ่น
ในด้านการศึกษา จากการนำเอาระบบการศึกษาแบบใหม่มาใช้ตั้งแต่สมัยการยึดครอง นับว่ามีผลต่อสังคมญี่ปุ่นมาก เพราะการศึกษาแบบใหม่เน้นความสำคัญของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะในเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคลทำให้เกิดความตื่นตัวในหมู่คนญี่ปุ่น เกิดความกล้าแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาต่างๆ เป็นการช่วยส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของญี่ปุ่นมากขึ้น
ในช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้ายึดครอง ญี่ปุ่นเกิดมีปัญหาทางสังคมที่สำคัญประการหนึ่ง โดยเฉพาะในระยะแรกๆ หลังสงคมยุติ นั่นคือ ปัญหาจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลหลายประการ เช่น มีคู่สมรสใหม่จำนวนมาก รวมทั้งคู่สมรสเก่าที่กลับมาพบกันหลังสงคราม และชาวญี่ปุ่นอยู่นอกประเทศในระหว่างสงครามได้เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนภายหลังสงครามยุติลง คนเหล่านี้เองที่ทำให้จำนวนประชากรของญี่ปุ่นล้นหลาม จนทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น ที่ดินทำกินไม่เพียงพอ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ทั้งฝ่ายสหรัฐอเมริกาผู้ยึดครองและฝ่ายรัฐบาลญี่ปุ่น ต่างตระหนักถึงปัญหาประชากรนี้ จึงได้มีการพยายามชะลออัตราการเกิดของชาวญี่ปุ่นตลอดมา และสามารถทำได้สำเร็จตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๐ เป็นต้นมา
ง. การปรับปรุงทางด้านการต่างประเทศ
นับตั้งแต่ญี่ปุ่นได้เอกราชในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๕๒ เป็นต้นมา นอกจากแนวทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ซึ่งญี่ปุ่นมักจะดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับสหรัฐอเมริกาตลอดเวลา เช่น การสนับสนุนนโยบายของสหรัฐอเมริกาในการรับรองสาธารณรัฐจีน ในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นก็ยังต้องหาทางฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่างๆ ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนก่อนสมัยที่จะเกิดสงคราม โดยจะต้องแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่กับประเทศต่างๆ คือ
๑. ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา การสิ้นสุดการยึดครองทำให้ญี่ปุ่นมีฐานะเป็นประเทศเอกราชอย่างสมบูรณ์ในทางกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติแล้วแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะสหรัฐอเมริกายังได้รับสิทธิที่จะมีฐานทัพอยู่ในประเทศญี่ปุ่นต่อไป ตามข้อตกลงที่ทำกันในสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกันของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ในวันที่ ๘ กันยายน ค.ศ. ๑๙๕๑ การคงฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่นต่อไปนี้ทำความไม่พอใจให้แก่คนญี่ปุ่นอย่างมาก เพราะทำให้คนญี่ปุ่นมีความรู้สึกว่า ประเทศของตนยังไม่เป็นอิสระหรือได้รับเอกราชที่สมบูรณ์ ยิ่งกว่านั้น ยังมีข้อตกลงที่คนญี่ปุ่นไม่พอใจอย่างมาก คือ สหรัฐอเมริกามีสิทธิที่จะใช้กำลังทหารอเมริกันที่อยู่ในญี่ปุ่นเข้าปราบปรามการจลาจลในญี่ปุ่นได้ หากได้รับการร้องของจากรัฐบาลญี่ปุ่น อันเป็นการให้สิทธิแก่ต่างชาติเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ ทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียอำนาจอธิปไตย นอกจากนั้นการคงอยู่ของฐานทัพอเมริกันในญี่ปุ่นอาจจะไม่เป็นผลดีแก่ญี่ปุ่น เพราะสหรัฐอเมริกาอาจจะนำญี่ปุ่นเข้าร่วมสงครามที่ญี่ปุ่นไม่ต้องการก็ได้
ความไม่พอใจของคนญี่ปุ่นต่อสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกันนี้ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องหาทางแก้ไขสนธิสัญญาเมื่อครบกำหนด ๑๐ ปี ความรู้สึกของคนญี่ปุ่นที่มีต่อสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มที่ไม่เป็นมิตรมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่เป็นการทำลายความสัมพันธ์อันดีของประเทศทั้งสองที่เคยมีมา เช่น ความไม่พอใจจากการที่สหรัฐอเมริกามีนโยบายเพิ่มกำลังทหารอเมริกันในญี่ปุ่นเนื่องจากสงครามเกาหลี ความไม่พอใจเนื่องจากปัญหาสารกัมมันตภาพรังสีจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาบนเกาะนิวกีนีในมหาสมุทรแปซิฟิก ในวันที่ ๑ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๕๔ ซึ่งมีผลทำให้ลูกเรือหาปลาชาวญี่ปุ่นเสียชีวิต นอกจากนั้น ยังมีข้อพิพาทกรณีย่อยๆ ที่เกิดขึ้นเสมอๆ ที่เป็นความขัดแย้งระหว่างทหารอเมริกันกับคนญี่ปุ่น เช่น การทำงานร่วมกันระหว่างทหารอเมริกันกับคนงานญี่ปุ่นที่เป็นลูกจ้างอยู่ในฐานทัพ ตลอดจนข้อพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ในฐานทัพอเมริกันกับชาวนารอบๆ ฐานทัพ เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ความขัดแย้งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงและเดินขบวนต่อต้านสหรัฐอเมริกาอยู่บ่อยครั้ง อันเป็นเครื่องยืนยันว่าความรู้สึกต่อต้านสหรัฐอเมริกาของญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น เมื่อสนธิสัญญาความมั่นคงฉบับแรกใกล้หมดอายุลงในระยะ ๑๐ ปี รัฐบาลทั้ง ๒ ประเทศได้เริ่มการเจรจาแก้ไขใหม่ ใน ค.ศ. ๑๙๖๐ แต่ผลจากการเจรจาปรากฏว่ารัฐบาลของทั้ง ๒ ประเทศ ยังคงมีความต้องการที่จะต่ออายุสัญญาออกไปอีก ๑๐ ปี เพราะต่างเห็นว่ายังมีประโยชน์ต่อกันอยู่ สหรัฐอเมริกาเองก็มีความต้องการที่จะคงฐานทัพอยู่ในญี่ปุ่นต่อไปเพื่อรักษาสันติภาพทางเอเชีย ส่วนญี่ปุ่นต้องการความคุ้มครองทางด้านการทหาร และขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการให้เงินมาดำเนินการในเรื่องนี้ การให้ฐานทัพสหรัฐอเมริกายังคงอยู่ต่อไปก็เป็นการประหยัดเงิน ญี่ปุ่นจะได้ใช้เงินไปในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมให้มากขึ้น ดังนั้น เมื่อผลประโยชน์ตรงกัน การเจรจาของทั้ง ๒ ประเทศ จึงนำไปสู่การตกลงต่ออายุสนธิสัญญานี้ออกไปอีก ๑๐ ปี โดยจะหมดอายุใน ค.ศ. ๑๙๗๐
๒. ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต ญี่ปุ่นกับสหภาพโซเวียตนั้นมีความขัดแย้งกันอยู่มากตลอดมา ทั้ง ๒ ฝ่ายเคยทำสงครามกันมาตั้งแต่ก่อนที่สหภาพโซเวียตจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในระหว่าง ค.ศ. ๑๙๐๔ - ๑๙๐๕ โดยญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะ ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ สหภาพโซเวียตได้ถือโอกาสระหว่างที่ญี่ปุ่นอยู่ในภาวะที่ใกล้จะแพ้ ประกาศสงครามกับญี่ปุ่นใน ค.ศ. ๑๙๔๕ ทันที ทำให้สหภาพโซเวียตมีฐานะเป็นประเทศผู้ชนะสงครามด้วยประเทศหนึ่ง ต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๕๐ สหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ตกลงกันทำสนธิสัญญาร่วมมือทางด้านการทหารเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น และเมื่อมีการประชุมเพื่อทำสัญญาสันติภาพที่เมืองแซนแฟรนซิสโก ใน ค.ศ. ๑๙๕๑ สหภาพโซเวียตได้ปฏิเสธที่จะร่วมลงนามรับรู้ในข้อตกลงกับญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถตกลงปัญหาความขัดแย้งต่างๆ เพื่อยุติสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับสหภาพโซเวียตได้โดย โกรมิโก ผู้แทนสหภาพโซเวียตได้กล่าวโจมตีสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวอย่างรุนแรง
ต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๕๔ สหภาพโซเวียตและญี่ปุ่นได้เปิดการเจรจาทางการทูตกันขึ้น โดยญี่ปุ่นได้ยื่นข้อเสนอ ๔ ประการ คือ
ก. ขอสิทธิจับปลาในน่านน้ำของสหภาพโซเวียต
ข. ขอคืนเกาะ ๔ เกาะทางตอนเหนือของหมู่เกาะฮอกไกโด ได้แก่ เกาะฮาโบไม (Habomai) ชิโกตัน (Shikotan) กุนาชิริ (Kunashiri) และเอโตโรฟุ (Etorofu) พร้อมทั้งหมู่เกาะแซคาลินและหมู่เกาะคูริล ซึ่งสหภาพโซเวียตยึดครองไว้หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลง
ค. ขอให้สหภาพโซเวียตสนับสนุนญี่ปุ่น ในการสมัครเข้าไปเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
ง. ขอให้ส่งคืนเชลยศึกชาวญี่ปุ่นที่สหภาพโซเวียตคุมขังไว้ที่ไซบีเรีย
แต่การเจรจากลับไม่สามารถตกลงกันในข้อใดๆ ได้เลย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและสหภาพโซเวียตมีแนวโน้มไปในทางลบ สหภาพโซเวียตก็ได้ใช้นโยบายที่รุนแรงต่อญี่ปุ่น เช่น เมื่อญี่ปุ่นสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ใน ค.ศ. ๑๙๕๕ สหภาพโซเวียตก็ใช้สิทธิยับยั้งในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงญี่ปุ่นจึงเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติไม่ได้ นโยบายต่อต้านญี่ปุ่นของสหภาพโซเวียตมีผลให้ญี่ปุ่นต้องยอมอ่อนข้อให้ โดยการเสนอขอเปิดการเจรจากับสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. ๑๙๕๕ การเจรจาครั้งที่ทั้ง ๒ ประเทศสามารถตกลงกันเรื่องสิทธิการจับปลาเป็นผลสำเร็จ แต่ปัญหาเรื่องขอเกาะคืนจากสหภาพโซเวียตยังไม่เป็นผล
จากข้อตกลงที่ทำกันได้ในบางเรื่อง ทำให้สหภาพโซเวียตยกเลิกการใช้สิทธิยับยั้งในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติของญี่ปุ่นใน ค.ศ. ๑๙๕๖ ญี่ปุ่นจึงได้เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปัญหาที่นับว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสองที่ยังคงดำรงอยู่ คือ การที่สหภาพโซเวียตไม่ยอมคืนเกาะให้แก่ญี่ปุ่นตามคำขอ
๓. ความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยทั่วไปแล้วนับว่าคนญี่ปุ่นมีความรู้สึกเป็นมิตรต่อสาธารณรัฐประชาชนจีนมากกว่าต่อสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต เพราะได้มีการติดต่อกันมาเป็นเวลานานและญี่ปุ่นได้ยอมรับวัฒนธรรมจีนไว้เป็นอันมาก นอกจากนั้น ด้านความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติก็มีความใกล้ชิดกัน อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ การที่สาธารณรัฐประชาชนจีนไม่มีนโยบายเรื่องการขยายอำนาจในช่วง ค.ศ. ๑๙๕๑ - ๑๙๖๐ เพราะอยู่ในระยะเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างหนักตามโครงการก้าวกระโดดไกล (ค.ศ. ๑๙๕๗ - ๑๙๖๐) ทำให้ญี่ปุ่นไม่เห็นอันตรายจากจีน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับท่าทีของสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินนโยบายเป็นจักรวรรดินิยมมากขึ้น นอกจากนั้น ญี่ปุ่นยังคำนึงถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ญี่ปุ่นจะได้รับจากการติดต่อกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เพราะสาธารณรัฐประชาชนจีนมีประชากรมากและจะสามารถเป็นตลาดรับซื้อสินค้าอุตสาหกรรมจากญี่ปุ่นได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีดินแดนอันกว้างใหญ่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวัตถุดิบที่ล้วนแต่เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ญี่ปุ่นต้องการนำมาใช้ในกิจการอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีความคิดอีกด้วยว่าตนควรจะยอมรับผิดและขออภัยต่อสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับความยุ่งยากที่กองทหารญี่ปุ่นได้กระทำไว้ต่อประเทศจีน ซึ่งปรากฏว่าในระหว่าง ค.ศ. ๑๙๓๗ - ๑๙๔๕ ที่ญี่ปุ่นรุกรานแผ่นดินใหญ่จีน ได้สังหารผู้คนไปประมาณ ๑๑ - ๑๕ ล้านคน ทำให้คนราว ๖๐ ล้านคน ไร้ที่อยู่อาศัยและทำความเสียหายมีมูลค่าถึงประมาณ ๖๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ ญี่ปุ่นจึงต้องการเจรจาปัญหาค่าปฏิกรรมสงครามตามที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเรียกร้อง
ด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงต้องการจะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นอย่างมาก แต่ญี่ปุ่นก็มีอุปสรรคในเรื่องนี้อยู่ ทั้งนี้มีสาเหตุสำคัญ ๔ ประการ คือ
ก. สาธารณรัฐประชาชนจีนไม่ได้เข้าร่วมประชุมที่เมืองแซนแฟรนซิสโก ใน ค.ศ. ๑๙๕๑ เพื่อทำสนธิสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่นร่วมกับประเทศอื่นๆ ทำให้ปัญหาเกี่ยวกับผลของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับญี่ปุ่นยังไม่ได้เจรจาตกลงกัน
ข. ญี่ปุ่นมีข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการดำเนินนโยบายต่างประเทศว่า จะต้องให้เป็นไปตามความต้องการของสหรัฐอเมริกา แต่การที่สหรัฐอเมริกามีนโยบายไม่เป็นมิตรกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้ญี่ปุ่นมีไมตรีกับสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่ได้เพราะเป็นการขัดต่อนโยบายของสหรัฐอเมริกา
ค. ญี่ปุ่นได้ทำสัญญากับสาธารณรัฐจีนที่พร้อมจะให้การรับรองไต้หวันเป็นเอกเทศ ใน ค.ศ. ๑๙๕๒ โดยรับรองรัฐบาลสาธารณรัฐจีนที่ไต้หวันและสถาปนาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่าง ๒ ประเทศขึ้น ทำให้นโยบายของญี่ปุ่นที่ต้องการจะมีความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนมีอุปสรรค
ง. เป็นเพราะญี่ปุ่นกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับสหภาพโซเวียตเพื่อขอทำสัญญาสันติภาพ ด้วยญี่ปุ่นต้องการเกาะคูริล เกาะแซคาลิน และหมู่เกาะทางตอนเหนือ รวมทั้ง เกาะฮาโบไม ชิโกตัน กูนาชิริ และเอโตโรฟุ คืนจากสหภาพโซเวียต โดยเหตุนี้ ถ้าญี่ปุ่นดำเนินนโยบายทำสนธิสัญญาสันติภาพกับสาธารณรัฐประชาชนจีนอาจมีผลต่อการเจรจากับสหภาพโซเวียตได้ เพราะสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังมีแนวโน้มจะเป็นศัตรูกัน ซึ่งอาจทำให้โอกาสที่ญี่ปุ่นจะขอเจรจากับสหภาพโซเวียตเพื่อขอหมู่เกาะต่างๆ คืนล้มเหลวตามไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ การที่ญี่ปุ่นต้องการสถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงมีอุปสรรคอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ในที่สุดญี่ปุ่นก็ต้องตัดสินใจเลือกประเทศใดประเทศหนึ่งที่ญี่ปุ่นเห็นว่าจะเป็นอันตรายต่อญี่ปุ่นน้อยกว่า ในขณะเดียวกันก็เป็นประโยชน์คุ้มค่าต่อญี่ปุ่นด้วย ดังนั้น ใน ค.ศ. ๑๙๖๐ เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหภาพโซเวียตมีความขัดแย้งกันมากขึ้นอันเป็นผลให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจบางประการเสียใหม่ เช่น ยกเลิกการซื้อสินค้าจากสหภาพโซเวียตโดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม จึงต้องหันมาพึ่งพาประเทศโลกเสรีมากขึ้น ญี่ปุ่นจึงเริ่มเจรจาติดต่อทางการค้าอย่างไม่เป็นทางการกับสาธารณรัฐประชาชนจีน การมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนดังกล่าว เท่ากับญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศมากที่สุดนั่นเอง
๔. ความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ จุดมุ่งหมายสำคัญของญี่ปุ่นที่ต้องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศอื่นๆ ก็เพื่อเป็นหนทางนำไปสู่การมีสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจที่จะเป็นผลประโยชน์ต่อญี่ปุ่น สาเหตุสำคัญที่จะเป็นอุปสรรคแก่ญี่ปุ่น คือ การที่บรรดาประเทศที่เคยถูกญี่ปุ่นรุกรานในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยังมีความเกลียดชังญี่ปุ่นอยู่ ทั้งยังมีความหวดกลัวการฟื้นฟูลัทธินิยมทหารของญี่ปุ่นด้วย จึงไม่ต้องการจะเป็นมิตรกับญี่ปุ่นอย่างง่ายๆ ดังนั้น เพื่อแก้ไขภาพพจน์และทัศนคติดังกล่าวญี่ปุ่นจึงต้องเป็นฝ่ายยอมรับด้วยการตกลงยินยอมจ่ายเงินค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่ประเทศต่างๆ ที่ถูกญี่ปุ่นรุกรานในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นการชดใช้ความเสียหายที่เกิดต่อชีวิตและทรัพย์สินของประเทศเหล่านั้น และเป็นการลดความเกลียดชังญี่ปุ่นให้น้อยลง เช่น ในกรณีของประเทศไทยก็สามารถตกลงค่าปฏิกรรมสงครามกับญี่ปุ่นได้ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๕ โดยได้รับการชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๙,๖๐๐ ล้านเยน ซึ่งญี่ปุ่นขอชำระเป็นงวดๆ ภายในเวลา ๘ ปี โดยเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๖๒ เป็นต้นมา นอกจากนั้น ญี่ปุ่นก็ได้เริ่มจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่พม่าเป็นประเทศแรกใน ค.ศ. ๑๙๕๔ ฟิลิปปินส์ใน ค.ศ. ๑๙๕๖ อินโดนีเซียใน ค.ศ. ๑๙๕๘ และเวียดนามใน ค.ศ. ๑๙๕๙ ผลการยอมรับการชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามของญี่ปุ่น นอกจากจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศเหล่านั้นดีขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ญี่ปุ่นได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอีกด้วย เพราะการจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามนั้น ญี่ปุ่นไม่ได้กระทำในรูปการให้เงินช่วยเหลือเท่านั้น แต่ได้กระทำในลักษณะของการลงทุนทางการค้า ซึ่งญี่ปุ่นถือเป็นการช่วยเหลืออีกรูปแบบหนึ่งด้วย การลงทุนในลักษณะดังกล่าวในแง่หนึ่งได้ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่ญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือ แต่ในอีกแง่หนึ่งญี่ปุ่นเองก็ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนด้วย เช่น การช่วยตั้งโรงงานผลิตอาวุธในฟิลิปปินส์ใน ค.ศ. ๑๙๖๘ ทำให้ฟิลิปปินส์ต้องสั่งซื้ออุปกรณ์การผลิตต่างๆ จากญี่ปุ่นต่อไปในระยะยาว เป็นต้น ญี่ปุ่นจึงได้ตลาดการค้าเพิ่มขึ้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในต่างประเทศจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ประเทศญี่ปุ่นหลังการยึดครอง (ค.ศ. ๑๙๕๒ - ๑๙๖๐) ตอนที่ 1
ประเทศญี่ปุ่นหลังการยึดครอง (ค.ศ. ๑๙๕๒ - ๑๙๖๐)
ถึงแม้สหรัฐอเมริกาจะควบคุมญี่ปุ่นมากดังกล่าวมาแล้วในบทที่ ๔ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ยึดครองและญี่ปุ่นเป็นผู้ถูกยึดครองก็เป็นไปด้วยดี ทั้งนี้ด้วยเหตุผลสำคัญ ๖ ประการ คือ
(๑) สหรัฐอเมริกาต้องการฟื้นฟูญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ โดยมุ่งให้ญี่ปุ่นฟื้นฟูประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านระบบเศรษฐกิจ และการจัดรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
(๒) สหรัฐอเมริกายอมรับความจริงของฝ่ายญี่ปุ่น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐอเมริกาในเรื่องที่ว่า สันติภาพจะมีได้ก็โดยการที่สหรัฐอเมริกาจะต้องสนับสนุนให้ญี่ปุ่นเจริญมั่งคั่งทางเศรษฐกิจแต่เพียงประการเดียว โดยเลิกล้มบทบาททางด้านการทหารอย่างเด็ดขาดและจะต้องมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาต่อไป
(๓) นโยบายปรับปรุงประเทศญี่ปุ่นในทุกๆ ด้านยกเว้นกิจการด้านการทหารได้ช่วยปรับแก้ทัศนะที่ชาติต่างๆ มีต่อญี่ปุ่นว่าญี่ปุ่นเป็นชาติรุกราน อันเนื่องมาจากเคยมุ่งสร้างกองทัพให้ยิ่งใหญ่เพื่อขยายอำนาจ
(๔) ญี่ปุ่นพอใจกับนโยบายการยึดครองญี่ปุ่นที่ฝ่ายสัมพันธมิตรกำหนดขึ้น อันมีหลักการว่า การยึดครองญี่ปุ่นเพื่อเป็นการล้างแค้นย่อมก่อให้เกิดความเกลียดชัง และความไม่สงบขึ้น เพราะฉะนั้นนโยบายยึดครองจึงมุ่งจะปฏิรูปญี่ปุ่นให้เปลี่ยนบทบาทจากผู้ทำลายสันติภาพมาเป็นผู้สร้างสันติภาพ
(๕) ลักษณะเฉพาะของคนญี่ปุ่น มีลักษณะที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงได้ง่าย และยอมปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจเหนือกว่า ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่คนญี่ปุ่นได้เคยอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการมาเป็นเวลาถึง ๑๕ ปี ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยิ่งกว่านั้น ยังมีธรรมเนียมสั่งสอนกันมาตลอดให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ การยอมรับความคิดเห็นของผู้มีอำนาจจึงเป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นให้การยอมรับทำให้การปกครองของสหรัฐอเมริกาในนามของสัมพันธมิตรเป็นไปโดยราบรื่น ในอีกด้านหนึ่งชาวญี่ปุ่นได้รู้จักชาวอเมริกันเป็นอย่างดี นับแต่ญี่ปุ่นได้ดำเนินนโยบายเปิดประเทศในสมัยเมจิ เหตุนี้ อิทธิพลของสหรัฐอเมริกาจึงมีอยู่ในญี่ปุ่นมาเป็นเวลานานแล้ว ความสนิทสนมระหว่างชาวญี่ปุ่นและชาวอเมริกันจึงคงดำรงอยู่ ทำให้การเข้ามายึดครองของสหรัฐอเมริกาเป็นที่ยอมรับ
(๖) ในระยะการยึดครอง แม้ญี่ปุ่นจะเสียผลประโยชน์บางอย่างและอำนาจอธิปไตยไปบ้าง ญี่ปุ่นก็ยอมเมื่อเทียบกับความช่วยเหลือที่ได้จากสหรัฐอเมริกาซึ่งมีมากกว่า เช่น ในระหว่าง ค.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๕๒ สหรัฐอเมริกาได้ช่วยเหลือญี่ปุ่นเป็นเงินถึง ๑,๘๐๐ ล้านดอลลาร์ โดยที่สหรัฐอเมริกาต้องการฟื้นฟูประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้เป็นแนวปราการป้องกันการแผ่ขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่กำลังคุกคามสันติภาพของโลก เช่น สงครามเกาหลี
ดังนั้น ตลอดระยะเวลาของการยึดครองจึงไม่มีการต่อต้าน ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการปรับปรุงประเทศญี่ปุ่นให้กลับคืนสู่สภาพปกติเกิดขึ้น การยึดครองได้ยุติลงอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา เมื่อมีการตกลงทำสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศเสรีต่างๆ ณ เมืองแซนแฟรนซิสโก ในวันที่ ๒๘ เมษายน ค.ศ. ๑๙๕๒ ทำให้ญี่ปุ่นได้รับอิสรภาพ มีฐานะเป็นประเทศเอกราช
เมื่อญี่ปุ่นเป็นเอกราชโดยสมบูรณ์ ปรากฏว่ามีปัญหาที่จะต้องปรับปรุงประเทศให้คืนสู่สภาพปกติหลายด้าน ดังนี้คือ
ก. การปรับปรุงทางด้านการเมือง
อุดมการณ์ทางการเมืองของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา มี ๒ แนวทาง คือ อนุรักษ์นิยมและสังคมนิยม พรรคการเมืองที่มีผู้สนับสนุนมากในแนวอนุรักษ์นิยม คือ พรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party) รองลงมา คือ พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (Democratic Socialist Party) ส่วนทางด้านสังคมนิยม คือ พรรคสังคมนิยมญี่ปุ่น (Japan Socialist Party) และรองลงมา คือ พรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่น (Japan Communist Party) แต่ละพรรคต่างมีนโยบายหลักมุ่งหาเสียงสนับสนุนจากประชาชน นโยบายจึงออกมาในลักษณะที่ไม่แตกต่างกันมากนัก โดยมุ่งช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในด้านต่างๆ เพราะฉะนั้น การที่พรรคใดได้รับการสนับสนุนมากหรือน้อยจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละพรรค แต่ขึ้นอยู่กับความเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ ที่ประชาชนให้ความนิยมและไว้วางใจมากกว่า ดังนั้นพรรคที่ได้รับเลือกให้เป็นรัฐบาลมาตลอดจึงได้แก่ พรรคเสรีประชาธิปไตย ส่วนพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งประชาชนให้ความสนับสนุนน้อยลงตามลำดับ ได้แก่ พรรคสังคมนิยม พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย และพรรคโคเม (Komei Party) ซึ่งมีนโยบายเดินสายกลางไม่เป็นอนุรักษ์นิยมจนเกินไป และพรรคคอมมิวนิสต์
แต่หลังจากญี่ปุ่นได้เอกราชสมบูรณ์แล้ว ความนิยมของญี่ปุ่นที่มีต่อนโยบายอนุรักษ์นิยมเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเสียงสนับสนุนพรรคเสรีประชาธิปไตยในเมืองมีน้อยลง เมื่อเทียบจำนวนกับเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ใหม่ๆ ทั้งนี้เนื่องจากเหตุผล ๓ ประการ คือ
๑. คนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเมื่ออายุครบ ๒๐ ปี เป็นพวกที่มีการศึกษากว้างขวางและทันสมัย โดยเฉพาะให้ความสนใจกับแนวความคิดทางการเมืองใหม่ๆ เช่น ระบอบคอมมิวนิสต์ เป็นต้น เป็นผลให้พวกนี้หันมาให้ความนิยมในอุดมการณ์ทางการเมืองฝ่ายซ้ายหรือสังคมนิยม เพราะฉะนั้นจำนวนคนที่สนับสนุนในพรรครัฐบาลหรืออนุรักษ์นิยมจึงมีน้อยลง
๒. ผู้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งตามเมืองใหญ่มีปริมาณน้อยลงนับตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๘ เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่เป็นชาย ทั้งนี้เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจตามเมืองใหญ่ ทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งเพราะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการประกอบอาชีพซึ่งมีความสำคัญกว่า
๓. ประชาชนที่อยู่ในเมืองใหญ่ให้การสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายมากขึ้น เช่น พรรคสังคมนิยม ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นจากกลุ่มกรรมกร เพราะญี่ปุ่นมีนโยบายเร่งด่วนทางด้านอุตสาหกรรมมาก ทำให้มีแรงงานเกิดขึ้นตามเมืองใหญ่ๆ ที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม เช่น โตเกียว โอซากา เป็นต้น พวกกรรมกรและผู้ใช้แรงงานซึ่งเรียกว่า Blue Collar จะให้การสนับสนุนจากพวก White Collar คือ พวกที่มีการศึกษาหรือปัญญาชน เช่น นักวิชาการ นักเขียน นักศึกษา และพนักงานชั้นผู้น้อย ซึ่งคนเหล่านี้มีปัญหาเรื่องรายได้ไม่พอกับค่าครองชีพ ทำให้ไม่พอใจต่อสภาพแวดล้อม จึงสนับสนุนนโยบายสังคมนิยมที่มีนโยบายการกระจายรายได้และกระจายความมั่งคั่ง ซึ่งจะช่วยให้สภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคมญี่ปุ่นไม่มีความแตกต่างกันมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับความสนับสนุนจากประชาชนในเมืองน้อยลง แต่ในชนบทยังคงได้รับความนิยมอยู่ ทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมในนามของพรรคเสรีประชาธิปไตยได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ
๑) ความมีชื่อเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้ง การเลือกตั้งที่ผ่านมาจนถึงระยะหลังการยึดครอง ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีความโน้มเอียงจะเลือกตัวบุคคลมากกว่าที่เลือกพรรค โดยเฉพาะจากลุ่มผู้มีอายุและกลุ่มชาวไร่ชาวนา ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นที่รู้จักมักจะได้รับเลือกเสมอ ไม่ว่าจะสังกัดอยู่พรรคการเมืองใดหรือมีนโยบายทางการเมืองแบบใดก็ตาม การที่ตัวบุคคลมีความสำคัญกว่าอุดมการณ์ทางการเมือง เพราะคนในชนบทมีแนวโน้มที่ยอมรับผู้ที่มีอำนาจหรืออิทธิพลในท้องถิ่นมากกว่านโยบายทางการเมือง ซึ่งผู้ที่มีอิทธิพลส่วนมากก็มักจะเป็นคนท้องถิ่นซึ่งสนับสนุนกลุ่มอนุรักษ์นิยมมาตลอด
๒) ภูมิลำเนาของผู้สมัครรับเลือกตั้ง คนญี่ปุ่นไม่ว่าสมัยใดค่อนข้างจะมีความผูกพันกับท้องถิ่นที่ตนอาศัยอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวชนบท เพราะฉะนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มาจากเขตหรือภูมิลำเนาของตน โดยไม่ค่อยพิจารณาถึงหลักการอื่นๆ และถึงแม้ว่าหลัง ค.ศ. ๑๙๖๐ เป็นต้นมา คนรุ่นหนุ่มสาวทั้งชายและหญิงซึ่งเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในเมืองไม่ต่ำกว่าปีละ ๕๐๐,๐๐๐ คน จะมีความรู้กว้างขวางขึ้นและมีหลักเกณฑ์ในการเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกต้องขึ้น แต่คนหนุ่มสาวจำนวนนี้ก็ยังมีน้อยกว่าคนที่มีอายุ ๓๐ - ๓๕ ปีขึ้นไป พวกที่มีอายุมากในระดับนี้ในชนบทจะยังคงให้การสนับสนุนแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มาจากภูมิลำเนาของตน ซึ่งส่วนมากเป็นผู้สมัครที่อยู่ในกลุ่มอนุรักษ์นิยม
๓) ส่วนใหญ่ของประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งกว่าครึ่งอยู่ในชนบทที่มีอาชีพทางเกษตรกรรมและการประมงเป็นอาชีพหลัก ซึ่งพวกนี้เป็นพวกหัวเก่าที่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณี จึงให้การสนับสนุนแก่พรรคเสรีประชาธิปไตยมาตลอด
นอกจากการสนับสนุนจากประชาชนในชนบทช่วยให้พรรคเสรีประชาธิปไตยได้เป็นรัฐบาลปกครองญี่ปุ่นมาตลอดแล้ว ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกลุ่มอนุรักษ์นิยมยังทำให้ประชาชนทั่วไปพอใจอีกด้วย โดยเฉพาะนับแต่ ค.ศ. ๑๙๕๕ เป็นต้นมา เมื่อกลุ่มอนุรักษ์นิยมได้รวมตัวกันโดยใช้ชื่อว่าพรรคเสรีประชาธิปไตย ทำให้สามารถเอาชนะจิตใจประชาชนเรื่อยมา ในขณะที่กลุ่มผู้นำฝ่ายสังคมนิยมมักจะแตกแยกกันเอง
ข. การปรับปรุงทางด้านเศรษฐกิจ
การพัฒนาทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๑ เป็นต้นมา นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถปรับปรุงแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศจากความสูญเสียในระยะสงครามโลกให้กลับคืนสู่สภาพปกติในระยะเวลาอันรวดเร็ว การดำเนินการแก้ไขสภาพเศรษฐกิจในช่วงนี้ ญี่ปุ่นได้ดำเนินการใน ๒ แนวทาง คือ การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมโดยตรง กับการปรับปรุงนโยบายของประเทศในด้านอื่นๆ ให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม
การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นดำเนินการดังนี้
๑. ญี่ปุ่นกำหนดระบบเศรษฐกิจของประเทศไว้อย่างแน่นอนว่า ระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเป็นระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม ญี่ปุ่นจึงมีนโยบายสนับสนุนความคิดริเริ่มในการดำเนินกิจการต่างๆ และให้มีการใช้ประโยชน์จากพลังงานต่างๆ ที่มีอยู่ได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
๒. รัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุนต่อระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมอย่างมาก ทำให้มีการร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มผู้มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจ ได้แก่ กลุ่มธนาคารและกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อแก้ไขสภาพความตกต่ำทางเศรษฐกิจให้หมดไปจากญี่ปุ่น และยังทำให้การบริการของรัฐบาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
การปรับปรุงนโยบายของประเทศในด้านอื่นๆ ให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม ดังนี้
๑) ญี่ปุ่นได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการศึกษาให้มีมาตรฐาน เพื่อให้คนญี่ปุ่นโดยทั่วไปได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงและอยู่ในระดับสูง ญี่ปุ่นจึงมีประชากรที่มีคุณภาพมีความสามารถที่จะเข้าใจถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะทำให้ญี่ปุ่นเจริญขึ้น และแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
๒) ญี่ปุ่นรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาไว้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ญี่ปุ่นได้รับความช่วยเหลือในแบบต่างๆ ตลอดมาอย่างสม่ำเสมอ เช่น การที่สหรัฐอเมริกาช่วยซื้อสินค้าญี่ปุ่นอย่างมากมายในสงครามเกาหลี ทำให้ญี่ปุ่นมีรายได้เข้าประเทศมากขึ้น กับทั้งสามารถนำรายได้เหล่านั้นไปปรับปรุงกิจการทางด้านอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นให้เจริญก้าวหน้าขึ้น นอกจากนั้นสหรัฐอเมริกาก็ยังให้ความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจ อันเป็นการถ่ายทอดความรู้ทางเทคนิคในด้านต่างๆ ให้ญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ เพื่อให้ญี่ปุ่นได้นำมาใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรม รวมทั้งการให้กู้ยืมเงินในระยะยาวเพื่อใช้ในการลงทุนขายวัตถุดิบให้ญี่ปุ่น และเป็นตลาดรับซื้อสินค้าจากญี่ปุ่นมากที่สุด นับเป็นความช่วยเหลืออย่างสำคัญที่ก่อประโยชน์ให้ญี่ปุ่นเป็นอันมาก
๓) ญี่ปุ่นได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของตนกับประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามโครงการชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม โครงการช่วยเหลือประเทศต่างๆ เหล่านี้ได้ก่อให้เกิดผลต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นไม่น้อย เนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นได้ตั้งข้อกำหนดไว้ว่าเงินช่วยเหลือเหล่านั้นจะต้องใช้ซื้อสินค้าญี่ปุ่น เช่น รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องใช้เงินที่ญี่ปุ่นช่วยเหลือซื้อสินค้าญี่ปุ่น จึงเท่ากับเป็นการจ่ายเงินกลับคืนสู่นายทุนญี่ปุ่นตามเดิมนั่นเอง สำหรับโครงการชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม ญี่ปุ่นถือว่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติ การชำระจริงๆ จึงกระทำกันในรูปของการลงทุน เช่น การที่ญี่ปุ่นจัดการตั้งโรงงานผลิตกระสุนมูลค่า ๖ ล้านดอลลาร์ให้ฟิลิปปินส์เป็นการชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม ในลักษณะเช่นนี้ทำให้ญี่ปุ่นมีความผูกพันทางเศรษฐกิจกับประเทศในภูมิภาคแถบนี้มากขึ้น เพราะประเทศเหล่านี้ต้องพึ่งพาเทคนิคต่างๆ จากญี่ปุ่น
การที่ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการดำเนินตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้ ทำให้ญี่ปุ่นสามารถฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจจนมีผลให้ญี่ปุ่นพ้นจากสภาพการเป็นหนี้สินในสมัยสงครามโลก กลายเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างสูงประเทศหนึ่ง อย่างไรก็ดี ถึงแม้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะมั่นคงเนื่องจากรายได้ประชากรต่อหัวเพิ่มอย่างมากทุกปี นับแต่สิ้นสุดการยึดครองเป็นต้นมา แต่ญี่ปุ่นก็ยังมีปัญหาทางเศรษฐกิจอยู่ ปัญหาทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในระยะหลังการยึดครอง ได้แก่
๑. การที่ญี่ปุ่นใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการลงทุนทางเศรษฐกิจของเอกชนกับของรัฐบาล ซึ่งปรากฏว่าเอกชนเจริญก้าวหน้ามากกว่า ทั้งนี้เพราะเอกชนกล้าลงทุน ทำให้การพัฒนาในกิจการของเอกชนเป็นไปอย่างรวดเร็ว และส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่ทางรัฐบาลลงทุนน้อยและต้องประหยัดเงินไว้ใช้ในกรณีพิเศษ ทำให้รัฐบาลต้องพึ่งพาเอกชนอย่างมาก
๒. ระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นนั้นส่วนใหญ่เป็นกิจการประเภทอุตสาหกรรม การที่ลักษณะของโรงงานอุตสาหกรรมมี ๒ ประเภท ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตไม่เท่ากัน ทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมใหม่มีประสิทธิภาพในการผลิตสูง มีคนงานเป็นจำนวนมาก และโดยเฉพาะอัตราค่าจ้างแรงงานได้รับมากกว่าโรงงานขนาดเล็ก ส่วนประเภทโรงงานขนาดเล็ก การผลิตจะอยู่ในอัตราต่ำ ค่าจ้างคนงานจึงต่ำกว่า ทำให้เกิดความแตกต่างกันในระดับค่าจ้างแรงงาน มีผลทำให้มีการเรียกร้องปรับปรุงค่าจ้างให้เหมาะสม ทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น เมื่อมีการปรับค่าแรง สินค้าต่างๆ ก็มีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้ค่าครองชีพมีอัตราสูงขึ้นทุกปี
๓. เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เป็นเกาะและเนื้อที่จำกัด ทำให้ไม่มีดินมากพอเพื่อจะทำการเกษตร ผลผลิตทางการเกษตรจึงไม่เพียงพอกับจำนวนประชากร ญี่ปุ่นจึงขาดแคลนอาหารและผลิตผลทางการเกษตร และยิ่งกว่านั้น ญี่ปุ่นไม่มีวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติอย่างเพียงพอที่จะใช้ในการผลิตทางอุตสาหกรรม โดยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงต้องสั่งซื้อสินค้าเข้าประเภทดังกล่าวจำนวนมาก การที่ญี่ปุ่นต้องการสินค้าวัตถุดิบมากก่อให้เกิดผลคือ
ก. ญี่ปุ่นต้องดำเนินนโยบายต่างประเทศ โดยเป็นมิตรกับประเทศที่ส่งวัตถุดิบให้ญี่ปุ่น เช่น ทำสนธิสัญญาค้าไม้กับสหภาพโซเวียต ทำให้ญี่ปุ่นและสหภาพโซเวียตมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งมีผลให้สหรัฐอเมริกาไม่พอใจ
ข. ญี่ปุ่นพยายามดำเนินการควบคุมแหล่งวัตถุดิบให้มากขึ้นโดยมีความสัมพันธ์กับประเทศในโลกที่ ๓ เช่น ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในตะวันออกกลาง เช่น กับประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยการทำสัญญาการลงทุนระยะยาวเพื่อควบคุมแหล่งวัตถุดิบ มีผลให้ญี่ปุ่นเริ่มจะมีปัญหาที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจกับประเทศทางตะวันตกมากขึ้น
๔. การที่ญี่ปุ่นจำเป็นต้องผลิตสินค้าส่งออกให้มาก เพื่อจะได้เงินตราต่างประเทศอย่างพอเพียง และเพื่อจะได้มีเงินทุนขยายกิจการทางด้านอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องใช้นโยบายควบคุมสินค้าขาเข้า เพราะเป็นการประหยัดเงินตราไม่ให้ไหลออกนอกประเทศ นโยบายดังกล่าวทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่พอใจ เพราะไม่สามารถหาซื้อสินค้าที่ตนต้องการได้ จึงต้องการให้รัฐบาลสั่งสินค้าเข้าเพิ่มให้มากขึ้น
ปัญหาและอนาคตด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของเกาหลีใต้
ข. ปัญหาและอนาคตด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของเกาหลีใต้
๑. ปัญหาและอนาคตด้านการเมืองของเกาหลีใต้
ปัญหาด้านการเมือง เป็นปัญหาที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยปักจุงฮีที่ใช้อำนาจเผด็จการผูกขาด ทำให้พรรคฝ่ายค้าน ประชาชนและนิสิตนักศึกษา ร่วมมือกันต่อต้านรัฐบาลอย่างแข็งขันตลอดมา จนถึงขั้นมีการใช้อาวุธตอบโต้การปราบปรามของรัฐบาลหลายครั้ง ขณะที่รัฐบาลใช้มาตรการทางการเมืองปราบปราม ในลักษณะที่เป็นการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และถึงขั้นจำคุกทรมานนักโทษการเมืองจนเป็นเรื่องอื้อฉาวไปทั่วมีผลทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพที่มั่นคง ต้องเสริมสร้างอาวุธไว้คอยปกป้องคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา และไม่สามารถจะคาดการณ์ได้ว่าประชาชนจะก่อการประท้วงขึ้นอีกเมื่อไร แม้ในสมัยชุนดูฮวานเองก็ตาม หลังจากสามารถปราบปรามประชาชน นิสิตนักศึกษา ที่เมืองกวางจูได้อย่างราบคาบแล้ว ปรากฏว่าเมื่อถึงวาระครบรอบ ๑ ปีของเหตุการณ์จลาจลได้มีการประท้วงอดอาหาร เพื่อให้รัฐบาลคลี่คลายกรณีทีเกิดขึ้นดังกล่าวให้กระจ่างแจ้งซึ่งรัฐบาลก็ต้องยอมผ่อนปรนที่จะปฏิบัติตามในที่สุด ปัญหาการต่อต้านรัฐบาลคงยากที่จะแก้ไขให้ยุติไปได้ ตราบเท่าที่ยังไม่มีการใช้หลักเกณฑ์ที่เคารพต่อสิทธิเสรีภาพ และสร้างสรรค์ความเสมอภาคเป็นธรรมในเกาหลีใต้อย่างแท้จริง
๒. ปัญหาและอนาคตด้านการต่างประเทศของเกาหลีใต้
ปัญหาที่สร้างความกังวลใจต่อรัฐบาลเกาหลีใต้ ตลอดทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมามากที่สุด คือ ปัญหาการป้องกันประเทศ เพราะเกรงว่าฝ่ายเกาหลีเหนือจะรุกรานเพื่อผนวกเกาหลีใต้ โดยเฉพาะนโยบายต่างประเทศสมัยประธานาธิบดีคาร์เตอร์ของสหรัฐอเมริกาที่ต้องการลดความผูกพันกับภูมิภาคเอเชีย ในที่สุดได้ตัดสินใจจะถอนกำลังภาคพื้นดินในเกาหลีใต้ประมาณ ๓๓,๐๐๐ คน ออกให้หมดภายใน ค.ศ. ๑๙๘๒ โดยจะยังคงหน่วยทหารด้านการช่างบางหน่วยเท่าที่จำเป็น รวมทั้งให้คงหน่วยสังเกตการณ์กองกำลังทางเรือและอากาศเท่าที่จำเป็นอยู่ต่อไป และสัญญาว่าสหรัฐอเมริกาจะให้อาวุธสมัยใหม่ทดแทนมีมูลค่ากว่า ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ สำหรับเหตุการณ์ของรัฐบาลคาร์เตอร์ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการกดดันแนวนโยบายของรัฐบาลเกาหลีใต้ที่ปราบปรามประชาชนด้วย
อย่างไรก็ดี สหรัฐอเมริกาได้พยายามชักจูงให้ญี่ปุ่นซึ่งเคยมีอำนาจเหนือเกาหลีในอดีต เข้าร่วมมีบทบาททางการเมืองและเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่สหรัฐอเมริกามีสัมพันธภาพทางการทูตขั้นปกติกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเช่นเดียวกับญี่ปุ่น ยิ่งทำให้ความร่วมมือในลักษณะดังกล่าวเป็นปึกแผ่นกว้างขวางยิ่งขึ้น ดังเช่นการที่ได้มีประกาศในแถลงการณ์ร่วมระหว่างสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๗๐ ว่า ความมั่นคงในคาบสมุทรเกาหลีและบริเวณเกาะไต้หวันเป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นมีความห่วงใยมาก รวมทั้งการที่ญี่ปุ่นมีสัมพันธภาพทางการทูตและการค้ากับเกาหลีใต้อย่างแน่นแฟ้น นอกจากมีการติดต่อค้าขายกันอย่างกว้างขวางแล้วญี่ปุ่นยังมีส่วนช่วยเหลือทางเศรษฐกิจที่สำคัญๆ แก่เกาหลีใต้อีกด้วย เช่น การสร้างโรงงานถลุงเหล็กขนาดใหญ่ เป็นต้น เป้าหมายสำคัญก็เพื่อสกัดกั้นอิทธิพลของสหภาพโซเวียตในภูมิภาคนี้เป็นสำคัญ เป็นไปได้ว่าในอนาคตสาธารณรัฐประชาชนจึงซึ่งมีอิทธิพลต่อเกาหลีเหนือ อาจจะมีส่วนผลักดันร่วมกับสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นซึ่งมีอิทธิพลต่อเกาหลีใต้ ให้โน้มนำไปสู่การเจรจาตกลงปัญหาการรวมชาติเกาหลีในอนาคต แต่แนวโน้มดังกล่าวดูจะไม่แจ่มใสนักเมื่อนายโรแนล เรแกน ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี เนื่องจากมีนโยบายอนุรักษ์นิยมและต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างมาก อันจะเป็นผลให้สหรัฐอเมริกายังคงสนับสนุนการปกครองโดยรัฐบาลของเกาหลีใต้ต่อไป เพื่อป้องกันภัยจากเกาหลีเหนือ รวมทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหภาพโซเวียต
๓. ปัญหาและอนาคตด้านเศรษฐกิจและสังคมของเกาหลีใต้
๓.๑ ปัญหาและอนาคตด้านเศรษฐกิจของเกาหลีใต้
แม้เกาหลีใต้จะประสบความสำเร็จด้านความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลกก็ตาม กระนั้น ก็ยังคงประสบปัญหาเศรษฐกิจเช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วย ที่สำคัญคือ การที่รัฐบาลเกาหลีใต้เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรมมากเป็นพิเศษ ทำให้เกิดผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรในชนบท ที่มีช่องว่างทางรายได้ห่างไกลกันมาก เกิดปัญหาด้านการกระจายรายได้และความเป็นธรรมในสังคม แม้โดยส่วนรวมแล้วประชาชนเกาหลีใต้จะมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพิ่มสูงขึ้นมากก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ได้รับรายได้เฉลี่ยต่ำกว่านายทุนอุตสาหกรรมอย่างมากมาย แม้รัฐบาลจะมีนโยบายพัฒนาชนบทตามโครงการซามาเอิล อุนดอง ก็ยังไม่อาจแก้ปัญหานี้ให้หมดไปได้โดยเร็ว
อย่างไรก็ดี แม้กรรมกรผู้ใช้แรงงานในเมืองจะได้รับค่าจ้างแรงงานต่ำ ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อขยายตัวมากขึ้น รัฐบาลก็กลับพยายามกดราคาค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเอาไว้เพื่อหวังเป็นเครื่องชักจูงชาวต่างชาติให้เข้าไปลงทุน หากกรรมกรเกิดการรวมตัวประท้วงขนานใหญ่เพราะทนต่อสภาวะเงินเฟ้อไม่ไหว อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ได้ นอกจากนั้น ผลของการที่สินค้าออกของเกาหลีใต้มีราคาถูก ทำให้ประเทศต่างๆ ทั้งสหรัฐอเมริกา ประเทศยุโรปตะวันตกได้ตั้งมาตรการเพื่อสกัดกั้นสินค้าของเกาหลีใต้ เกิดผลกระทบต่อการขยายการผลิต และการส่งออกของเกาหลีใต้มากทีเดียว
มีข้อสังเกตว่า สภาวะความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ในความเป็นจริงเป็นผลมาจากการกู้เงินจากต่างชาติเพื่อเพิ่มขยายการลงทุนเป็นส่วนใหญ่ หนี้ต่างประเทศของเกาหลีใต้ในปัจจุบันจึงสูงถึงประมาณ ๑๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ เมื่อไม่สามารถเพิ่มขยายการส่งออกเพื่อแสวงหาเงินตราต่างประเทศมาชดใช้เงินกู้เพื่อผดุงฐานะทางเศรษฐกิจปัญหายุ่งยากต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากการผลิตอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกกำลังถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ต้นทุนการผลิตด้านแรงงานและพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันก็มีมูลค่าสูงขึ้น รวมทั้งปัญหาภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ปรากฏว่าใน ค.ศ. ๑๙๗๙ เกาหลีใต้ขาดดุลถึง ๓,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ และการที่เกาหลีใต้ต้องพึ่งพลังงานโดยสั่งน้ำมันเป็นสินค้าเข้าจากต่างประเทศถึงประมาณร้อยละ ๗๐ ของสินค้าเข้าทั้งหมด เนื่องจากเป็นประเทศอุตสาหกรรม ขณะที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นมากเป็นผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ ๓๐
สิ่งที่รัฐบาลชุนดูฮวานพยายามแก้ไข คือ ต้องพยายามหาทางขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่นที่มีแรงงานราคาถูกและเป็นแหล่งวัตถุดิบและตลาดสินค้า ชุนดูฮวานได้เพ่งเล็งมาที่กลุ่มประเทศสมาคมอาเซียนบางประเทศ ที่มีความสามารถทางการผลิตอุตสาหกรรมต่ำกว่า จึงได้ตัดสินใจเดินทางมาเยือนกลุ่มประเทศอาเซียนเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๘๑ ชุนดูฮวานคงตระหนักดีถึงความสำคัญของอาณาบริเวณแถบนี้ เนื่องจากเกาหลีใต้มีการค้าด้วยประมาณร้อยละ ๖ ของการค้าต่างประเทศของตนทั้งหมด นอกจากนั้น ประเทศในกลุ่มอาเซียนยังเป็นทั้งตลาดและแหล่งวัตถุดิบทางอุตสาหกรรมที่สำคัญของเกาหลีใต้ ซึ่งต้องอาศัยดีบุก ยางพารา ไม้สักถึงร้อยละ ๘๐ และน้ำมันจากอินโดนีเซียถึง ๑๕,๐๐๐ บาเรลต่อวันอีกด้วย
ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวอาจจะเป็นผลผลักดันให้รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องหันไปเร่งรัดพัฒนาการเกษตรในชนบทเพิ่มมากขึ้น เพื่อแก้ไขภาวการณ์ขาดแคลนอาหารบริโภคภายในประเทศ และเน้นการกระจายรายได้และความเป็นธรรมภายในประเทศให้ดีขึ้น ขณะที่จำเป็นต้องลดการขยายการเจริญเติบโตภาคอุตสาหกรรมลงควบคู่ไปกับการหาทางขยายตลาดสินค้าอุตสาหกรรมใหม่ๆ มากขึ้น
๓.๒ ปัญหาและอนาคตด้านสังคมของเกาหลีใต้
เนื่องจากเกาหลีใต้เน้นพัฒนาประเทศ ให้เป็นประเทศพัฒนาทางอุตสาหกรรมทำให้เกิดเขตอุตสาหกรรมบริเวณชานเมืองขึ้นอย่างมากมาย ทำให้ประสบปัญหาทางสังคมคล้ายกับปัญหาของนครหรือเมืองใหญ่ในประเทศอื่นๆ ทั่วไป คือ การที่คนชนบทอพยพละทิ้งอาชีพทางการเกษตรซึ่งประสบความล้มเหลวในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ เข้าสู่ตัวเมืองเพื่อประกอบอาชีพเป็นกรรมกร ปัญหาประชากรหนาแน่นในเมืองของเกาหลีใต้ดังกล่าวนับได้ว่าอยู่ในระดับรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงที่ยังไม่มีการพัฒนาฟื้นฟูอาชีพการเกษตรในชนบทตามโครงการซามาเอิล อุนดอง เป็นผลให้เกิดปัญหาอื่นๆ ติดตามมาเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาคนว่างงาน ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาขาดแคลนสิ่งสาธารณูปโภคและสวัสดิการสังคมต่างๆ และปัญหาการจราจรติดขัด เป็นต้น มีผลกระทบต่อเสถียรภาพและความสงบของประชาชนอย่างมาก
อย่างไรก็ดี แม้ว่าต่อมารัฐบาลเกาหลีใต้จะได้เร่งรัดพัฒนาเพื่อฟื้นฟูเกษตรกรรมในชนบทแล้วก็ตาม ก็ยังไม่สามารถขจัดปัญหาความยากจนของบรรดาผู้ใช้แรงงานทั้งกรรมกรในเมืองและชาวนาชาวไร่ในชนบทให้หมดไปได้
ปัญหาการรวมเกาหลี
การแบ่งแยกชั่วคราวระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ณ เส้นขนานที่ ๓๘ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๕๓ เป็นต้นมาจนบัดนี้ ประมาณ ๓๐ ปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถรวมเกาหลีให้กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้แม้ว่าทั้ง ๒ ฝ่ายจะมีความเห็นตรงกันว่าต้องรวมกันก็ตาม ด้วยต่างฝ่ายต่างก็ไม่ไว้วางใจกัน ฝ่ายเกาหลีใต้โจมตีว่าผู้นำเกาหลีเหนือยังไม่เลิกล้มแผนการที่จะยกทัพบุกเกาหลีใต้ และรวมประเทศด้วยกำลังให้เป็นคอมมิวนิสต์ ฝ่ายเกาหลีเหนือก็โจมตีว่าสหรัฐอเมริกาเป็นต้นเหตุสำคัญที่เข้าไปยึดครองเกาหลีใต้เพื่อหวังผลอิทธิพลเข้าครองเอเชีย ตลอดระยะเวลาเกือบ ๓๐ ปี ได้มีการเสนอเงื่อนไขการรวมประเทศกว่า ๑๐๐ ครั้ง แต่ก็ยังไม่เป็นที่ตกลงกัน ข้อเสนอที่สำคัญเช่น ในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๖๓ คิมอิลซุงแห่งเกาหลีเหนือได้เสนอหลักการในการรวมประเทศ โดยเสนอให้ตั้งสมาพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยโคเรียว (Republic of Koryo) เป็นตัวแทนของเกาหลีทั้งสอง ให้มีผู้แทนจากทั้ง ๒ ฝ่ายจำนวนเท่ากันเป็นผู้บริหารสมาพันธ์เพื่อร่วมมือกันทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจในการรวมประเทศ รวมทั้งสมัครเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติในนามสมาพันธ์ ทั้งนี้โดยไม่ให้ต่างชาติเข้าเกี่ยวข้อง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ข้อเสนอฝ่ายเกาหลีเหนือมีเงื่อนไขสำคัญ ๓ ขั้นตอน คือ ขั้นแรกให้ถอนทหารอเมริกันออกไปจากเกาหลีใต้ ต่อมาให้ตกลงทำสนธิสัญญาสันติภาพ และขั้นสุดท้ายให้ลดกำลังรบระหว่างประเทศทั้งสองให้กำลังต่ำกว่า ๑๐๐,๐๐๐ คน แต่ประธานาธิบดีปักจุงฮีปฏิเสธ และโจมตีว่าเกาหลีเหนือประสงค์ที่จะรวมชาติโดยใช้กำลังและไม่มีความจริงใจ
อย่างไรก็ดี ต่อมารัฐบาลเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้ตกลงเปิดให้มีการเจรจากันเพื่อลดความตึงเครียดที่เมืองปันมุนจอม ระหว่างวันที่ ๑๗ กันยายน - ๗ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๗๙ ในรูปคณะกรรมการเหนือ - ใต้ (South - North Coordinating Committee) ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นระหว่างการเจรจากับเกาหลีใต้ใน ค.ศ. ๑๙๗๒ - ๑๙๗๓ แต่ฝ่ายเกาหลีเหนืออ้างว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าวหมดสภาพไปตั้งแต่ ๕ ปีก่อนแล้ว แต่ได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมในฐานะผู้แทนแนวร่วมประชาธิปไตยเพื่อการรวมปิตุภูมิ (Democratic Front For the Unifications of the Father Land) ผู้แทนเกาหลีเหนือเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเตรียมการรวมเกาหลีเพื่อดำเนินการสำหรับจัดตั้งสมัชชาแห่งชาติ และเสนอให้คณะเจ้าหน้าที่ติดต่อของทั้ง ๒ ฝ่ายพบกันทุกสัปดาห์เพื่อหารือกัน ฝ่ายเกาหลีใต้โจมตีฝ่ายเกาหลีเหนือว่าไม่จริงใจต่อการเจรจา โดยส่งผู้แทนแนวร่วมประชาธิปไตยเพื่อการรวมปิตุภูมิเข้าร่วมเจรจา มิใช่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยตรง จึงยุติการเจรจา แต่ได้ตกลงกันในหลักการ ให้รื้อฟื้นการติดต่อทางโทรศัพท์สายด่วนระหว่างกรุงโซลและกรุงเปียงยางขึ้นใหม่
ในการเจรจาระหว่างวันที่ ๗ - ๑๔ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๗๙ เกาหลีใต้ได้เสนอให้เปิดเจรจาระดับคณะทำงานขึ้นในวันที่ ๒๘ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๗๙ เพื่อพิจารณาถึงสถานะของคณะกรรมการประสานงานเหนือ - ใต้ แต่ผู้แทนเกาหลีเหนือได้ยื่นข้อเสนอว่าหากเกาหลีใต้ยินยอมยกเลิกปัญหาเรื่องคณะกรรมการดังกล่าว ฝ่ายเกาหลีเหนือยินดีจะให้คณะผู้แทนของตนเปลี่ยนสภาพเป็นตัวแทนของรัฐบาล และพรรคกรรกรเกาหลีเหนือ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเรียกร้องในตอนแรกของเกาหลีใต้ พร้อมกับเสนอให้เปิดการเจรจาดังกล่าวขึ้นในวันที่ ๕ เมษายน ค.ศ. ๑๙๗๙ แต่ฝ่ายเกาหลีใต้ปฏิเสธ อย่างไรก็ดี ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๘๑ ชุนดูฮวานได้เสนอให้เปิดประชุมสุดยอดกับคิมอิลซุงแห่งเกาหลีเหนือโดยตรงขึ้นเพื่อหาทางร่วมกันโดยสันติวิธี โดยยอมให้ฝ่ายเกาหลีเหนือเป็นผู้กำหนดเวลาและสถานที่ หลังจากที่คิมอิลซุงปฏิเสธคำเชิญของซุนดูฮวานให้ไปเยือนกรุงโซล แต่ก็ยังไม่เป็นที่ตกลงกัน ปัญหาการรวมเกาหลีจึงยังคงเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการหาทางเจรจาปรองดองกันด้วยความจริงใจอีกมาก จึงจะบรรลุถึงความเป็นเอกภาพของประเทศชาติและประชาชนเกาหลีอย่างแท้จริง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)