บทที่ ๓
การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของสาธารณรัฐประชาชนจีน
หลังการปฏิวัติวัฒนธรรมถึงปัจจุบัน
ตลอดระยะเวลากว่า ๓๐ ปี ตั้งแต่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตงสามารถสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนสำเร็จใน ค.ศ. ๑๙๔๙ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายกลับไปกลับมาในลักษณะการต่อสู้ ๒ แนวทางตลอดมา กล่าวคือ
ในด้านการเมืองภายในและการต่างประเทศ จะเปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างแนวทางปฏิวัติและการอยู่รวมกันอย่างสันติเพื่อความมั่นคน นั่นก็คือ เมื่อใดที่การเมืองภายในและการต่างประเทศเน้นแนวการปฏิวัติ จะส่งผลกระทบถึงการมีแนวทางด้านเศรษฐกิจที่เน้นการเฉลี่ยกระจายแบบสังคมนิยมตามหลักเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ด้วยการให้แต่ละชุมชนสามารถเลี้ยงตัวเองหรือพึ่งตัวเองได้ จึงมีระบบการแจกแจงรายได้ และการแจกแจงอำนาจและอภิสิทธิ์ รวมทั้งอำนาจในการควบคุมปัจจัยการผลิต โดยให้เป็นสิทธิของแต่ละชุมชนดำเนินการเองอย่างอิสระ เพื่อจะได้บรรลุจุดประสงค์ตามหลักการพึ่งพาตนเอง เช่น สมัยปฏิวัติวัฒนธรรม แต่เมื่อใดที่การเมืองภายในและการต่างประเทศเน้นแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสันติเพื่อความมั่นคง จะส่งผลกระทบถึงแนวทางด้านเศรษฐกิจที่มีการเน้นความเจริญเติบโตแบบทุนนิยม คือ การที่รัฐบาลสนับสนุนให้มีการลงทุนของเอกชนมากขึ้น มีการแข่งขันกันผลิตโดยรัฐบาลควบคุมอยู่ห่างๆ โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกลไกแห่งราคาในตลาด เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนได้แข่งขันกันมากขึ้นอันจะทำให้กิจการต่างๆ ขยายตัวเพิ่มขึ้น ลักษณะดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นในระยะ ๙ ปีโดยประมาณ
โรงงานอุตสาหกรรมริมฝั่งแม่น้ำแยงซีในประเทศจีน |
ในด้านเศรษฐกิจ จะเปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างแนวทางพัฒนาที่เน้นการเฉลี่ยกระจายแบบสังคมนิยม และแนวทางพัฒนาที่เน้นความเจริญเติบโตแบบทุนนิยม ที่สอดคล้องกับแนวทางการเมืองภายในและการต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงสภาพทางสังคมด
ในด้านสังคม มีประชากรมากถึงประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านคน ซึ่งสูงเป็นอันดับ ๑ ของโลก ขณะที่มีพื้นที่เพาะปลูกน้อยระหว่างช่วง ค.ศ. ๑๙๘๐ ปรากฏว่ามีการขยายตัวของประชากรถึงร้อยละ ๑.๒ สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงตั้งเป้าหมายจะพยายามควบคุมการขยายตัวของประชากรให้เหลือเพียงประมาณร้อยละ ๐.๕ ภายใน ค.ศ. ๑๙๘๕ และให้เท่ากับร้อยละ ๐ ใน ค.ศ. ๒๐๐๐ ปัญหาประชากรดังกล่าวทำให้รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนและปัญหาคนว่างงานให้ทุเลาเบาบางไปได้โดยง่าย ก่อให้เกิดปัญหาช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบทมากขึ้น แม้ว่าในปัจจุบันจะได้ดำเนินมาตรการปรับตัวทางเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขแล้วก็ตาม
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาสังคมเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากการเปิดรับความเจริญก้าวหน้าแบบประเทศทุนนิยมตะวันตก ที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางสังคมของประเทศ โดยเฉพาะหากไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม อาจกระทบต่อโครงสร้างของระบบสังคมทั้งหมดในระยะยาวได้ เช่น ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง และปัญหาอาชญากรรม เป็นต้น อันเนื่องมาจากความปรารถนาวัตถุโดยปราศจากขอบเขต
ชุดกี่เพ้า |
การเปลี่ยนแปลงของสาธารณรัฐประชาชนจีนดังกล่าว ช่วยชี้ให้เห็นพื้นฐานการเปลี่ยนแปลงในลักษณะวัฏจักรทั้งทางการเมือง การต่างประเทศ และเศรษฐกิจสังคมในอนาคตได้เป็นอย่างดี และช่วยชี้ให้เห็นแนวโน้มอีกประการหนึ่งด้วยว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนจะกลายเป็นประเทศสำคัญ ที่จะมีบทบาทในการเมืองร่วมกับมหาอำนาจอื่นๆ อันได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต ญี่ปุ่น และประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันตกทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ฯลฯ ไม่ว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนจะหันเหนโยบายไปในทิศทางใดก็ตาม
สิ่งที่ควรรู้
๑. ประชาธิปไตยรวมศูนย์ คือ รูปการปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อื่นๆ ที่มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว คือ พรรคคอมมิวนิสต์ ที่ถือว่าเป็นการรวมศูนย์อำนาจของชนชั้นกรรมาชีพเพื่อต้องการขจัดปัญหาความแตกต่างระหว่างชนชั้นให้หมดไป ในทางปฏิบัติ พรรคคอมมิวนิสต์จะเป็นผู้กำหนดนโยบายเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับต่างๆ ตั้งแต่ส่วนกลางจนกระทั่งส่วนท้องถิ่นนำไปปฏิบัติ ทั้งนี้โดยปรับให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในแต่ละท้องที่ วิธีการดังกล่าวฝ่ายโลกเสรีได้โจมตีว่าเป็นเผด็จการเพราะไม่ยินยอมให้มีพรรคฝ่ายค้าน อย่างไรก็ดี สาธารณรัฐประชาชนจีนในยุค ๔ ทันสมัย ก็ได้พยายามปรับปรุงวิธีการต่างๆ ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แม้ว่าจะยังคงมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ด้วยเหตุที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะไม่เข้าไปแทรกแซงการบริหารงานของรัฐบาลมากดังแต่ก่อน แต่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาล โดยพรรคจะหันไปให้ความสำคัญด้านบทบาทการเป็นผู้นำทางการเมืองด้านนโยบายมากขึ้น
๒. ๔ ทันสมัย คือ นโยบายของกลุ่มนักปฏิบัติ ซึ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีและการลงทุนจากภายนอก เพื่อพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศสังคมนิยมที่ทันสมัย นโยบาย ๔ ทันสมัยริเริ่มนำไปใช้อย่างจริงจังครั้งแรกภายใต้การนำของโจวเอินไหล และได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งภายใต้การผลักดันของเติ้งเสี่ยวผิงภายหลังมรณกรรมของเหมาเจ๋อตง นโยบายนี้มุ่งดำเนินการใน ๔ ด้าน คือ เกษตรกรรมทันสมัย อุตสาหกรรมทันสมัย การป้องกันประเทศทันสมัย และเทคโนโลยีทันสมัย โดยพยายามประยุกต์ใช้วิธีการจัดการบริหารแบบประชาธิปไตยตะวันตก เพื่อสร้างความมีประสิทธิภาพของระบบด้วย
๓. หลัก ๔ ใหญ่ คือ หลักการสำคัญ ๔ ประการ ได้แก่ การแสดงทัศนะอย่างเสรี การแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ การอภิปรายโต้แย้งอย่างกว้างขวาง และการปิดโปสเตอร์หนังสือตัวโต ที่เหมาเจ๋อตงสนับสนุนให้ใช้อย่างกว้างขวางในสมัยปฏิวัติ โดยมีจุดมุ่งหมายรณรงค์ให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์โจมตีแนวความคิดของฝ่ายที่ยอมรับระบอบทุนนิยมตะวันตกไปใช้ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเหมาเจ๋อตงโจมตีว่าเป็นลัทธิแก้ เหมาเจ๋อตงเกรงว่าการเดินตามแนวทางทุนนิยมจะมีอิทธิพลเบี่ยงเบนและเป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ในอุดมคติ ขณะเดียวกันก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหมาเจ๋อตงมีจุดมุ่งหมายแอบแฝงอยู่ ที่จะใช้วิธีการรณรงค์ดังกล่าวเพื่อขจัดคู่แข่งทางการเมืองของตนพร้อมกันไปด้วย ต่อมา เมื่อเติ้งเสี่ยวผิงผลักดันให้ใช้นโยบาย ๔ ทันสมัย จึงสั่งห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองของประชาชนอย่างเสรี ด้วยเกรงว่าจะส่งผลกระทบถึงนโยบายดังกล่าว
๔. ลัทธิเหมา คือ แนวความคิดของเหมาเจ๋อตงที่เน้นการปฏิวัติแบบชนบทล้อมเมือง โดยถือเอาชาวนาชาวไร่ในชนบทเป็นแนวหน้าของการปฏิวัติ เพื่อประสานกับกรรมกรในเมือง ซึ่งต่างจากยุทธวิธีการปฏิวัติของสหภาพโซเวียต ที่เน้นการปฏิวัติโดยมีกรรมกรเป็นหลักในการยึดอำนาจรัฐจากตัวเมืองแล้วขยายไปสู่ชนบท ยุทธวิธีการปฏิวัติของเหมาเจ๋อตงจะใช้สงครามกองโจรคอยซุ่มโจมตีทำลายกองกำลังของปรปักษ์ ขณะเดียวกันก็ปลุกระดมมวลชนขายเขตฐานที่มั่นในชนบทเพื่อขยายแนวร่วมการสู้รบยึดอำนาจรัฐในที่สุด เป้าหมายหลักของลัทธิเหมา คือ การปฏิวัติแบบพึ่งตนเองเพื่อต่อต้านอำนาจและอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ๒ อภิมหาอำนาจที่พยายามจะเข้าแทรกแซงในโลกที่ ๓ เพื่อครอบครองโลก โดยเฉพาะในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนถือเป็นเขตอิทธิพล
๕. ทฤษฎี ๓ โลก คือ นโยบายที่เหมาเจ๋อตงและผู้นำของสาธารณรัฐประชาชนจีนคนอื่นๆ เรียกร้องให้โลกที่ ๓ ซึ่งประกอบด้วย ประเทศด้วยพัฒนาในเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริการ่วมมือกับประเทศในกลุ่มโลกที่ ๒ คือ ประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้แก่ ยุโรปตะวันตก แคนาดา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมทั้งประเทศในยุโรปตะวันออก เพื่อร่วมกันต่อต้านประเทศในโลกที่ ๑ โดยมีสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเป็นศัตรูสำคัญ แต่ในยุค ๔ ทันสมัย เติ้งเสี่ยวผิงได้ปรับยุทธศาสตร์เสียใหม่ด้วยการเน้นต่อต้านสหภาพโซเวียตเป็นสำคัญ เนื่องจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเชื่อว่าปัจจุบันสหภาพโซเวียตมีนโยบายคุกคามที่เป็นอันตรายต่อสันติภาพของโลก จึงจำเป็นต้องรวมพลังอำนาจต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อต่อต้าน ขณะเดียวกัน ก็เป็นประโยชน์ต่อสาธารณรัฐประชาชนจีนที่สามารถเรียกร้องความช่วยเหลือร่วมมือทางเศรษฐกิจจากประเทศต่างๆ ที่พัฒนาแล้วเพื่อบรรลุนโยบาย ๔ ทันสมัยอีกด้วย
ชายฝั่งทะเลจีนใต้ในไหหนาน |
๖. ลัทธิครองความเป็นเจ้า เป็นถ้อยคำที่สาธารณรัฐประชาชนจีนให้เรียกประมาณเป้าหมายนโยบายต่างประเทศของสหภาพโซเวียต ว่ามีจุดมุ่งหมายที่จะขยายอิทธิพลเพื่อครอบครองโลก โดยอ้างว่าเพื่อเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้โจมตีคัดค้านวิธีการของสหภาพโซเวียตในการสนับสนุนการปฏิวัติในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศด้อยพัฒนาในโลกที่ ๓ ว่ามีลักษณะเข้าแทรกแซงครอบงำโดยเปิดเผย อันเป็นการละเมิดอธิปไตยเหนือดินแดน วิธีการขยายอิทธิพลและอุดมการณ์ของสหภาพโซเวียตดังกล่าว สาธารณรัฐประชาชนจีนถือว่าเป็นวิธีการของประเทศจักรวรรดินิยมเข้ายึดครองดินแดนประเทศอื่นเป็นเมืองขึ้น ในฐานะที่สหภาพโซเวียตเป็นประเทศสังคมนิยม สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงเรียกชื่อว่าเป็นประเทศสังคมจักรพรรดินิยม