ประเทศญี่ปุ่นหลังการยึดครอง (ค.ศ. ๑๙๕๒ - ๑๙๖๐)
ถึงแม้สหรัฐอเมริกาจะควบคุมญี่ปุ่นมากดังกล่าวมาแล้วในบทที่ ๔ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ยึดครองและญี่ปุ่นเป็นผู้ถูกยึดครองก็เป็นไปด้วยดี ทั้งนี้ด้วยเหตุผลสำคัญ ๖ ประการ คือ
(๑) สหรัฐอเมริกาต้องการฟื้นฟูญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ โดยมุ่งให้ญี่ปุ่นฟื้นฟูประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านระบบเศรษฐกิจ และการจัดรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
(๒) สหรัฐอเมริกายอมรับความจริงของฝ่ายญี่ปุ่น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐอเมริกาในเรื่องที่ว่า สันติภาพจะมีได้ก็โดยการที่สหรัฐอเมริกาจะต้องสนับสนุนให้ญี่ปุ่นเจริญมั่งคั่งทางเศรษฐกิจแต่เพียงประการเดียว โดยเลิกล้มบทบาททางด้านการทหารอย่างเด็ดขาดและจะต้องมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาต่อไป
(๓) นโยบายปรับปรุงประเทศญี่ปุ่นในทุกๆ ด้านยกเว้นกิจการด้านการทหารได้ช่วยปรับแก้ทัศนะที่ชาติต่างๆ มีต่อญี่ปุ่นว่าญี่ปุ่นเป็นชาติรุกราน อันเนื่องมาจากเคยมุ่งสร้างกองทัพให้ยิ่งใหญ่เพื่อขยายอำนาจ
(๔) ญี่ปุ่นพอใจกับนโยบายการยึดครองญี่ปุ่นที่ฝ่ายสัมพันธมิตรกำหนดขึ้น อันมีหลักการว่า การยึดครองญี่ปุ่นเพื่อเป็นการล้างแค้นย่อมก่อให้เกิดความเกลียดชัง และความไม่สงบขึ้น เพราะฉะนั้นนโยบายยึดครองจึงมุ่งจะปฏิรูปญี่ปุ่นให้เปลี่ยนบทบาทจากผู้ทำลายสันติภาพมาเป็นผู้สร้างสันติภาพ
(๕) ลักษณะเฉพาะของคนญี่ปุ่น มีลักษณะที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงได้ง่าย และยอมปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจเหนือกว่า ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่คนญี่ปุ่นได้เคยอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการมาเป็นเวลาถึง ๑๕ ปี ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยิ่งกว่านั้น ยังมีธรรมเนียมสั่งสอนกันมาตลอดให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ การยอมรับความคิดเห็นของผู้มีอำนาจจึงเป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นให้การยอมรับทำให้การปกครองของสหรัฐอเมริกาในนามของสัมพันธมิตรเป็นไปโดยราบรื่น ในอีกด้านหนึ่งชาวญี่ปุ่นได้รู้จักชาวอเมริกันเป็นอย่างดี นับแต่ญี่ปุ่นได้ดำเนินนโยบายเปิดประเทศในสมัยเมจิ เหตุนี้ อิทธิพลของสหรัฐอเมริกาจึงมีอยู่ในญี่ปุ่นมาเป็นเวลานานแล้ว ความสนิทสนมระหว่างชาวญี่ปุ่นและชาวอเมริกันจึงคงดำรงอยู่ ทำให้การเข้ามายึดครองของสหรัฐอเมริกาเป็นที่ยอมรับ
(๖) ในระยะการยึดครอง แม้ญี่ปุ่นจะเสียผลประโยชน์บางอย่างและอำนาจอธิปไตยไปบ้าง ญี่ปุ่นก็ยอมเมื่อเทียบกับความช่วยเหลือที่ได้จากสหรัฐอเมริกาซึ่งมีมากกว่า เช่น ในระหว่าง ค.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๕๒ สหรัฐอเมริกาได้ช่วยเหลือญี่ปุ่นเป็นเงินถึง ๑,๘๐๐ ล้านดอลลาร์ โดยที่สหรัฐอเมริกาต้องการฟื้นฟูประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้เป็นแนวปราการป้องกันการแผ่ขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่กำลังคุกคามสันติภาพของโลก เช่น สงครามเกาหลี
ดังนั้น ตลอดระยะเวลาของการยึดครองจึงไม่มีการต่อต้าน ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการปรับปรุงประเทศญี่ปุ่นให้กลับคืนสู่สภาพปกติเกิดขึ้น การยึดครองได้ยุติลงอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา เมื่อมีการตกลงทำสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศเสรีต่างๆ ณ เมืองแซนแฟรนซิสโก ในวันที่ ๒๘ เมษายน ค.ศ. ๑๙๕๒ ทำให้ญี่ปุ่นได้รับอิสรภาพ มีฐานะเป็นประเทศเอกราช
เมื่อญี่ปุ่นเป็นเอกราชโดยสมบูรณ์ ปรากฏว่ามีปัญหาที่จะต้องปรับปรุงประเทศให้คืนสู่สภาพปกติหลายด้าน ดังนี้คือ
ก. การปรับปรุงทางด้านการเมือง
อุดมการณ์ทางการเมืองของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา มี ๒ แนวทาง คือ อนุรักษ์นิยมและสังคมนิยม พรรคการเมืองที่มีผู้สนับสนุนมากในแนวอนุรักษ์นิยม คือ พรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party) รองลงมา คือ พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (Democratic Socialist Party) ส่วนทางด้านสังคมนิยม คือ พรรคสังคมนิยมญี่ปุ่น (Japan Socialist Party) และรองลงมา คือ พรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่น (Japan Communist Party) แต่ละพรรคต่างมีนโยบายหลักมุ่งหาเสียงสนับสนุนจากประชาชน นโยบายจึงออกมาในลักษณะที่ไม่แตกต่างกันมากนัก โดยมุ่งช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในด้านต่างๆ เพราะฉะนั้น การที่พรรคใดได้รับการสนับสนุนมากหรือน้อยจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละพรรค แต่ขึ้นอยู่กับความเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ ที่ประชาชนให้ความนิยมและไว้วางใจมากกว่า ดังนั้นพรรคที่ได้รับเลือกให้เป็นรัฐบาลมาตลอดจึงได้แก่ พรรคเสรีประชาธิปไตย ส่วนพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งประชาชนให้ความสนับสนุนน้อยลงตามลำดับ ได้แก่ พรรคสังคมนิยม พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย และพรรคโคเม (Komei Party) ซึ่งมีนโยบายเดินสายกลางไม่เป็นอนุรักษ์นิยมจนเกินไป และพรรคคอมมิวนิสต์
แต่หลังจากญี่ปุ่นได้เอกราชสมบูรณ์แล้ว ความนิยมของญี่ปุ่นที่มีต่อนโยบายอนุรักษ์นิยมเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเสียงสนับสนุนพรรคเสรีประชาธิปไตยในเมืองมีน้อยลง เมื่อเทียบจำนวนกับเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ใหม่ๆ ทั้งนี้เนื่องจากเหตุผล ๓ ประการ คือ
๑. คนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเมื่ออายุครบ ๒๐ ปี เป็นพวกที่มีการศึกษากว้างขวางและทันสมัย โดยเฉพาะให้ความสนใจกับแนวความคิดทางการเมืองใหม่ๆ เช่น ระบอบคอมมิวนิสต์ เป็นต้น เป็นผลให้พวกนี้หันมาให้ความนิยมในอุดมการณ์ทางการเมืองฝ่ายซ้ายหรือสังคมนิยม เพราะฉะนั้นจำนวนคนที่สนับสนุนในพรรครัฐบาลหรืออนุรักษ์นิยมจึงมีน้อยลง
๒. ผู้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งตามเมืองใหญ่มีปริมาณน้อยลงนับตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๘ เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่เป็นชาย ทั้งนี้เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจตามเมืองใหญ่ ทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งเพราะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการประกอบอาชีพซึ่งมีความสำคัญกว่า
๓. ประชาชนที่อยู่ในเมืองใหญ่ให้การสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายมากขึ้น เช่น พรรคสังคมนิยม ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นจากกลุ่มกรรมกร เพราะญี่ปุ่นมีนโยบายเร่งด่วนทางด้านอุตสาหกรรมมาก ทำให้มีแรงงานเกิดขึ้นตามเมืองใหญ่ๆ ที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม เช่น โตเกียว โอซากา เป็นต้น พวกกรรมกรและผู้ใช้แรงงานซึ่งเรียกว่า Blue Collar จะให้การสนับสนุนจากพวก White Collar คือ พวกที่มีการศึกษาหรือปัญญาชน เช่น นักวิชาการ นักเขียน นักศึกษา และพนักงานชั้นผู้น้อย ซึ่งคนเหล่านี้มีปัญหาเรื่องรายได้ไม่พอกับค่าครองชีพ ทำให้ไม่พอใจต่อสภาพแวดล้อม จึงสนับสนุนนโยบายสังคมนิยมที่มีนโยบายการกระจายรายได้และกระจายความมั่งคั่ง ซึ่งจะช่วยให้สภาพความเป็นอยู่ของคนในสังคมญี่ปุ่นไม่มีความแตกต่างกันมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับความสนับสนุนจากประชาชนในเมืองน้อยลง แต่ในชนบทยังคงได้รับความนิยมอยู่ ทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมในนามของพรรคเสรีประชาธิปไตยได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ
๑) ความมีชื่อเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้ง การเลือกตั้งที่ผ่านมาจนถึงระยะหลังการยึดครอง ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีความโน้มเอียงจะเลือกตัวบุคคลมากกว่าที่เลือกพรรค โดยเฉพาะจากลุ่มผู้มีอายุและกลุ่มชาวไร่ชาวนา ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นที่รู้จักมักจะได้รับเลือกเสมอ ไม่ว่าจะสังกัดอยู่พรรคการเมืองใดหรือมีนโยบายทางการเมืองแบบใดก็ตาม การที่ตัวบุคคลมีความสำคัญกว่าอุดมการณ์ทางการเมือง เพราะคนในชนบทมีแนวโน้มที่ยอมรับผู้ที่มีอำนาจหรืออิทธิพลในท้องถิ่นมากกว่านโยบายทางการเมือง ซึ่งผู้ที่มีอิทธิพลส่วนมากก็มักจะเป็นคนท้องถิ่นซึ่งสนับสนุนกลุ่มอนุรักษ์นิยมมาตลอด
๒) ภูมิลำเนาของผู้สมัครรับเลือกตั้ง คนญี่ปุ่นไม่ว่าสมัยใดค่อนข้างจะมีความผูกพันกับท้องถิ่นที่ตนอาศัยอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวชนบท เพราะฉะนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มาจากเขตหรือภูมิลำเนาของตน โดยไม่ค่อยพิจารณาถึงหลักการอื่นๆ และถึงแม้ว่าหลัง ค.ศ. ๑๙๖๐ เป็นต้นมา คนรุ่นหนุ่มสาวทั้งชายและหญิงซึ่งเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในเมืองไม่ต่ำกว่าปีละ ๕๐๐,๐๐๐ คน จะมีความรู้กว้างขวางขึ้นและมีหลักเกณฑ์ในการเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกต้องขึ้น แต่คนหนุ่มสาวจำนวนนี้ก็ยังมีน้อยกว่าคนที่มีอายุ ๓๐ - ๓๕ ปีขึ้นไป พวกที่มีอายุมากในระดับนี้ในชนบทจะยังคงให้การสนับสนุนแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มาจากภูมิลำเนาของตน ซึ่งส่วนมากเป็นผู้สมัครที่อยู่ในกลุ่มอนุรักษ์นิยม
๓) ส่วนใหญ่ของประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งกว่าครึ่งอยู่ในชนบทที่มีอาชีพทางเกษตรกรรมและการประมงเป็นอาชีพหลัก ซึ่งพวกนี้เป็นพวกหัวเก่าที่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณี จึงให้การสนับสนุนแก่พรรคเสรีประชาธิปไตยมาตลอด
นอกจากการสนับสนุนจากประชาชนในชนบทช่วยให้พรรคเสรีประชาธิปไตยได้เป็นรัฐบาลปกครองญี่ปุ่นมาตลอดแล้ว ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกลุ่มอนุรักษ์นิยมยังทำให้ประชาชนทั่วไปพอใจอีกด้วย โดยเฉพาะนับแต่ ค.ศ. ๑๙๕๕ เป็นต้นมา เมื่อกลุ่มอนุรักษ์นิยมได้รวมตัวกันโดยใช้ชื่อว่าพรรคเสรีประชาธิปไตย ทำให้สามารถเอาชนะจิตใจประชาชนเรื่อยมา ในขณะที่กลุ่มผู้นำฝ่ายสังคมนิยมมักจะแตกแยกกันเอง
ข. การปรับปรุงทางด้านเศรษฐกิจ
การพัฒนาทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๑ เป็นต้นมา นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถปรับปรุงแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศจากความสูญเสียในระยะสงครามโลกให้กลับคืนสู่สภาพปกติในระยะเวลาอันรวดเร็ว การดำเนินการแก้ไขสภาพเศรษฐกิจในช่วงนี้ ญี่ปุ่นได้ดำเนินการใน ๒ แนวทาง คือ การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมโดยตรง กับการปรับปรุงนโยบายของประเทศในด้านอื่นๆ ให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม
การกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นดำเนินการดังนี้
๑. ญี่ปุ่นกำหนดระบบเศรษฐกิจของประเทศไว้อย่างแน่นอนว่า ระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเป็นระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม ญี่ปุ่นจึงมีนโยบายสนับสนุนความคิดริเริ่มในการดำเนินกิจการต่างๆ และให้มีการใช้ประโยชน์จากพลังงานต่างๆ ที่มีอยู่ได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
๒. รัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุนต่อระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมอย่างมาก ทำให้มีการร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มผู้มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจ ได้แก่ กลุ่มธนาคารและกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อแก้ไขสภาพความตกต่ำทางเศรษฐกิจให้หมดไปจากญี่ปุ่น และยังทำให้การบริการของรัฐบาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
การปรับปรุงนโยบายของประเทศในด้านอื่นๆ ให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม ดังนี้
๑) ญี่ปุ่นได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการศึกษาให้มีมาตรฐาน เพื่อให้คนญี่ปุ่นโดยทั่วไปได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงและอยู่ในระดับสูง ญี่ปุ่นจึงมีประชากรที่มีคุณภาพมีความสามารถที่จะเข้าใจถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะทำให้ญี่ปุ่นเจริญขึ้น และแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
๒) ญี่ปุ่นรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาไว้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ญี่ปุ่นได้รับความช่วยเหลือในแบบต่างๆ ตลอดมาอย่างสม่ำเสมอ เช่น การที่สหรัฐอเมริกาช่วยซื้อสินค้าญี่ปุ่นอย่างมากมายในสงครามเกาหลี ทำให้ญี่ปุ่นมีรายได้เข้าประเทศมากขึ้น กับทั้งสามารถนำรายได้เหล่านั้นไปปรับปรุงกิจการทางด้านอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นให้เจริญก้าวหน้าขึ้น นอกจากนั้นสหรัฐอเมริกาก็ยังให้ความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจ อันเป็นการถ่ายทอดความรู้ทางเทคนิคในด้านต่างๆ ให้ญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ เพื่อให้ญี่ปุ่นได้นำมาใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรม รวมทั้งการให้กู้ยืมเงินในระยะยาวเพื่อใช้ในการลงทุนขายวัตถุดิบให้ญี่ปุ่น และเป็นตลาดรับซื้อสินค้าจากญี่ปุ่นมากที่สุด นับเป็นความช่วยเหลืออย่างสำคัญที่ก่อประโยชน์ให้ญี่ปุ่นเป็นอันมาก
๓) ญี่ปุ่นได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของตนกับประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามโครงการชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม โครงการช่วยเหลือประเทศต่างๆ เหล่านี้ได้ก่อให้เกิดผลต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นไม่น้อย เนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นได้ตั้งข้อกำหนดไว้ว่าเงินช่วยเหลือเหล่านั้นจะต้องใช้ซื้อสินค้าญี่ปุ่น เช่น รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องใช้เงินที่ญี่ปุ่นช่วยเหลือซื้อสินค้าญี่ปุ่น จึงเท่ากับเป็นการจ่ายเงินกลับคืนสู่นายทุนญี่ปุ่นตามเดิมนั่นเอง สำหรับโครงการชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม ญี่ปุ่นถือว่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติ การชำระจริงๆ จึงกระทำกันในรูปของการลงทุน เช่น การที่ญี่ปุ่นจัดการตั้งโรงงานผลิตกระสุนมูลค่า ๖ ล้านดอลลาร์ให้ฟิลิปปินส์เป็นการชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม ในลักษณะเช่นนี้ทำให้ญี่ปุ่นมีความผูกพันทางเศรษฐกิจกับประเทศในภูมิภาคแถบนี้มากขึ้น เพราะประเทศเหล่านี้ต้องพึ่งพาเทคนิคต่างๆ จากญี่ปุ่น
การที่ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการดำเนินตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้ ทำให้ญี่ปุ่นสามารถฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจจนมีผลให้ญี่ปุ่นพ้นจากสภาพการเป็นหนี้สินในสมัยสงครามโลก กลายเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างสูงประเทศหนึ่ง อย่างไรก็ดี ถึงแม้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะมั่นคงเนื่องจากรายได้ประชากรต่อหัวเพิ่มอย่างมากทุกปี นับแต่สิ้นสุดการยึดครองเป็นต้นมา แต่ญี่ปุ่นก็ยังมีปัญหาทางเศรษฐกิจอยู่ ปัญหาทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในระยะหลังการยึดครอง ได้แก่
๑. การที่ญี่ปุ่นใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการลงทุนทางเศรษฐกิจของเอกชนกับของรัฐบาล ซึ่งปรากฏว่าเอกชนเจริญก้าวหน้ามากกว่า ทั้งนี้เพราะเอกชนกล้าลงทุน ทำให้การพัฒนาในกิจการของเอกชนเป็นไปอย่างรวดเร็ว และส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่ทางรัฐบาลลงทุนน้อยและต้องประหยัดเงินไว้ใช้ในกรณีพิเศษ ทำให้รัฐบาลต้องพึ่งพาเอกชนอย่างมาก
๒. ระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นนั้นส่วนใหญ่เป็นกิจการประเภทอุตสาหกรรม การที่ลักษณะของโรงงานอุตสาหกรรมมี ๒ ประเภท ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตไม่เท่ากัน ทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมใหม่มีประสิทธิภาพในการผลิตสูง มีคนงานเป็นจำนวนมาก และโดยเฉพาะอัตราค่าจ้างแรงงานได้รับมากกว่าโรงงานขนาดเล็ก ส่วนประเภทโรงงานขนาดเล็ก การผลิตจะอยู่ในอัตราต่ำ ค่าจ้างคนงานจึงต่ำกว่า ทำให้เกิดความแตกต่างกันในระดับค่าจ้างแรงงาน มีผลทำให้มีการเรียกร้องปรับปรุงค่าจ้างให้เหมาะสม ทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น เมื่อมีการปรับค่าแรง สินค้าต่างๆ ก็มีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้ค่าครองชีพมีอัตราสูงขึ้นทุกปี
๓. เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เป็นเกาะและเนื้อที่จำกัด ทำให้ไม่มีดินมากพอเพื่อจะทำการเกษตร ผลผลิตทางการเกษตรจึงไม่เพียงพอกับจำนวนประชากร ญี่ปุ่นจึงขาดแคลนอาหารและผลิตผลทางการเกษตร และยิ่งกว่านั้น ญี่ปุ่นไม่มีวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติอย่างเพียงพอที่จะใช้ในการผลิตทางอุตสาหกรรม โดยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงต้องสั่งซื้อสินค้าเข้าประเภทดังกล่าวจำนวนมาก การที่ญี่ปุ่นต้องการสินค้าวัตถุดิบมากก่อให้เกิดผลคือ
ก. ญี่ปุ่นต้องดำเนินนโยบายต่างประเทศ โดยเป็นมิตรกับประเทศที่ส่งวัตถุดิบให้ญี่ปุ่น เช่น ทำสนธิสัญญาค้าไม้กับสหภาพโซเวียต ทำให้ญี่ปุ่นและสหภาพโซเวียตมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งมีผลให้สหรัฐอเมริกาไม่พอใจ
ข. ญี่ปุ่นพยายามดำเนินการควบคุมแหล่งวัตถุดิบให้มากขึ้นโดยมีความสัมพันธ์กับประเทศในโลกที่ ๓ เช่น ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในตะวันออกกลาง เช่น กับประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยการทำสัญญาการลงทุนระยะยาวเพื่อควบคุมแหล่งวัตถุดิบ มีผลให้ญี่ปุ่นเริ่มจะมีปัญหาที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจกับประเทศทางตะวันตกมากขึ้น
๔. การที่ญี่ปุ่นจำเป็นต้องผลิตสินค้าส่งออกให้มาก เพื่อจะได้เงินตราต่างประเทศอย่างพอเพียง และเพื่อจะได้มีเงินทุนขยายกิจการทางด้านอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องใช้นโยบายควบคุมสินค้าขาเข้า เพราะเป็นการประหยัดเงินตราไม่ให้ไหลออกนอกประเทศ นโยบายดังกล่าวทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่พอใจ เพราะไม่สามารถหาซื้อสินค้าที่ตนต้องการได้ จึงต้องการให้รัฐบาลสั่งสินค้าเข้าเพิ่มให้มากขึ้น
ต่อตอนที่ 2
ตอบลบ