การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของเกาหลีเหนือ
และเกาหลีใต้หลังสงครามกลางเมืองถึงปัจจุบัน
เกาหลีเหนือ
นับตั้งแต่มีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (Democratic People’s Republic of Korea) หรือเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการในวันที่ ๙ กันยายน ค.ศ. ๑๙๔๘ ฐานะทางการเมืองของประธานาธิบดีคิมอิลซุงค่อนข้างจะมั่นคง เนื่องจากสามารถขจัดคู่แข่งคนสำคัญๆ ตั้งแต่ครั้งสงครามเกาหลีได้อย่างราบคาบ อำนาจสูงสุดเด็ดขาดในพรรคกรรมกรของเกาหลีเหนือจึงตกอยู่กับคิมอิลซุงแต่เพียงผู้เดียว ทั้งทางการเมืองและทางการทหาร
การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของเกาหลีเหนือภายใต้การนำของคิมอิลซุง อาจแยกพิจารณาได้เป็น ๓ ระยะ คือ
(๑) ระยะแรก คือ การปฏิรูประบอบประชาธิปไตยของประชาชน (ค.ศ. ๑๙๔๕ - ๑๙๔๘) เป็นการสร้างพื้นฐานทางการเมืองโดยการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของประชาชนทดแทนสถาบันแบบจารีตประเพณีที่ล้าหลัง ทั้งนี้ไม่นับช่วง ค.ศ. ๑๙๕๐ - ๑๙๕๓ เนื่องจากเกิดสงคราม ๔ ปี ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ซึ่งยุติลงด้วยการเจรจาหยุดยิงทำสัญญาพักรบ ในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๕๓ ระหว่างประเทศทั้งสอง
(๒) ระยะที่สอง คือ การปฏิรูปสังคมนิยม (ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๖) และการปฏิวัติสังคมนิยม (ค.ศ. ๑๙๕๗ - ๑๙๖๐) เป็นการปฏิรูปและปฏิวัติเพื่อสร้างประชาธิปไตยของประชาชนตามแนวทางลัทธิมาร์กซ - เลนิน
(๓) ระยะที่สาม คือ การสร้างระบอบสังคมนิยมสมบูรณ์แบบ (ค.ศ. ๑๙๖๑ - ปัจจุบัน) เป็นการประสบความสำเร็จในการสร้างสังคมนิยม และระบอบคอมมิวนิสต์สมบูรณ์ตามแนวทางของพรรคกรรมกรเกาหลีเหนือ
สภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของเกาหลีเหนือ
สภาพทางการเมืองของเกาหลีเหนือ
(๑) อุดมการณ์ การที่คิมอิลซุงและพรรคกรรมกรเกาหลีมีอำนาจผูกขาดในเกาหลีเหนือ ทำให้อิทธิพลของคิมอิลซุงที่เรียกว่า แนวคิดแบบจูเชอะ (Chuch’e idea) หรือหลักการพึ่งตนเองถูกผนวกไว้เป็นกฎหมายสูงสุดแห่งรัฐในรัฐธรรมนูญปัจจุบันของเกาหลีเหนือ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๗๒ แทนรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. ๑๙๔๘ ซึ่งเลียนแบบสหภาพโซเวียตทั้งหมด หลักการจูเชอะมี ๓ ประการ คือ
- สาธารณรัฐประชาชนเกาหลีเหนือจะต้องมีเอกราชทางการเมืองที่แท้จริง
- จะต้องสามารถพึ่งพาตนเองในทางเศรษฐกิจ
- จะต้องมีขีดความสามารถป้องกันประเทศด้วยตนเอง
การที่ต้องนำหลักการนี้มาใช้ เพราะความแตกแยกและขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสหภาพโซเวียต ซึ่งได้ดำเนินมาตลอดตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๖๐ ทำให้ผู้นำของเกาหลีเหนือต้องกำหนดนโยบายในการปกครองบริหารประเทศเสียใหม่ที่จะทำให้ประเทศอยู่ได้ด้วยตนเอง ทำให้คับแคบและทำให้เกาหลีเหนือต้องประสบกับความล้าหลังทางเศรษฐกิจในระยะต่อมา สำหรับลักษณะสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของเกาหลีเหนือ เป็นการผสมผสานระหว่างรัฐธรรมนูญของประเทศคอมมิวนิสต์ต่างๆ โดยปรับให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของตน โดยย้ำเน้นในเรื่องอำนาจเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพเป็นหลัก
โดยหลักทฤษฎีแล้ว เพื่อการสร้างเสริมให้ประเทศมีความมั่นคงเข้มแข็ง คิมอิลซุงจะนำเอาหลักการแนวทางมวลชนมาใช้ในลักษณะประชาธิปไตยรวมศูนย์ (Democratic Centralism) ด้วยการที่พรรคกรรมกรเกาหลีเหนือ จะเป็นองค์กรสำคัญในการกำหนดนโยบายการพิจารณาและลงมติ แล้วจึงนำมติของพรรคไปสู่ประชาชนเพื่อให้ยึดถือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว ทั้งนี้ภายใต้การชี้ชวนและส่งเสริมให้ประชาชนปฏิบัติตามกรอบกว้างๆ ของมติพรรคที่วางไว้ ด้วยความกระตือรือร้นและกล้าวิพากษ์วิจารณ์ โดยอาศัยลักษณะผู้นำของคิมอิลซุงที่มีบารมีเป็นอำนาจ เพื่อช่วยให้นโยบายของรัฐมีผลในทางปฏิบัติ กระบวนการดังกล่าวจะช่วยให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แทนที่จะเป็นเพียงการกำหนดนโยบายโดยพรรคและชี้นำให้ประชาชนปฏิบัติตามแต่เพียงฝ่ายเดียว
ขณะเดียวกัน เมื่อคิมอิลซุงต้องการขจัดคู่แข่งทางการเมืองภายในพรรค ก็จะนำเอาทฤษฎีการใช้อำนาจเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ มาใช้สร้างเงื่อนไขความขัดแย้งให้พัฒนาเป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้น โดยอ้างว่าเพื่อขจัดศัตรูของการปฏิบัติ พวกเจ้าที่ดิน นายทุนนายหน้า และพวกลัทธิแก้ วิธีการดังกล่าวทำให้ประธานาธิบดีคิมอิลซุงสามารถปกครองและรักษาอำนาจผูกขาดความเป็นผู้นำไว้ได้ตลอดมา โดยมีแนวโน้มว่าจะผลักดันให้คิมจองอิล (Kim Jong Il) บุตรชายสืบตำแหน่งต่อไป ขณะที่มีเสียงโจมตีว่าเป็นลักษณะการผูกขาดอำนาจอยู่เฉพาะในหมู่ชาติมิตรของผู้นำเอง
(๒) สถาบันทางการเมือง ตามรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. ๑๙๗๒ ของเกาหลีเหนือมีการแบ่งแยกอำนาจเป็นองค์กรสำคัญต่างๆ ๔ ฝ่าย ทั้งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมบงการของพรรคกรรมกรเกาหลีแต่เพียงพรรคเดียว องค์กรทั้ง ๔ ได้แก่
- พรรคกรรมกรเกาหลี เป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวตามอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ทำหน้าที่ควบคุมดูแลนโยบายหลักสำคัญสูงสุดของประเทศ ซึ่งที่ประชุมพรรคจะทำการพิจารณาตัดสินนโยบาย โดยคณะกรรมการเมืองของพรรคซึ่งประกอบด้วยผู้นำพรรคระดับสูงที่ได้รับเลือกจากคณะกรรมการกลางประชาชน จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำในรายละเอียด ก่อนที่จะนำไปปฏิบัติต้องได้รับการอนุมัติจากสภาประชาชนสูงสุดก่อน แล้วสภาบริหารหรือคณะรัฐมนตรีจึงจะนำนโยบายที่พรรคมอบหมายไปปฏิบัติ
- สภาประชาชนสูงสุด (Supreme People’s Assembly) ทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติประกาศใช้หรือยกเลิกกฎหมายและปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขสูงสุดของประเทศ
- คณะกรรมการกลางประชาชน (Central People’s Committee) มีหน้าที่ควบคุมอำนาจและกำหนดนโยบายแห่งรัฐทั้งกิจการภายในและภายนอก รวมทั้งด้านการป้องกันประเทศ ด้านยุติธรรม และความมั่นคงแห่งรัฐ รวมทั้งมีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำประเทศต่างๆ และแต่งตั้ง โยกย้าย ถอดถอนรัฐมนตรีอีกด้วย
- สภาบริหาร (Administrative Council) หรือคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารงานในแต่ละกระทรวง ทบวง กรม โดยอยู่ภายใต้การควบคุมแนะนำของประธานาธิบดีและคณะกรรมการกลางประชาชนอีกทีหนึ่ง
สำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีของเกาหลีเหนือ เป็นทั้งหัวหน้าฝ่ายบริหาร และประมุขของประเทศ นอกจากนั้น ยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะกรรมการกลางประชาชนและผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอีกด้วย ซึ่งคิมอิลซุงดำรงตำแหน่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน
สภาพทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือ
การดำเนินการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือ กระทำประสานสอดคล้องกับทางการเมือง โดยอาจแบ่งออกเป็น ๓ ระยะเช่นกัน คือ
- ระยะแรก คือ ตั้งแต่ระยะปลดแอกประเทศจนถึงระยะฟื้นฟูประเทศหลังสงครามเกาหลีสงบ (ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๖) โดยเว้นช่วงชะงักงันอันเนื่องมาจากสงคราม ๔ ปี (ค.ศ. ๑๙๕๐ - ๑๙๕๓)
- ระยะที่สอง คือ ช่วงการปฏิวัติเศรษฐกิจให้เป็นแบบสังคมนิยมอุตสาหกรรมภายใต้โครงการเศรษฐกิจ ๕ ปีแรก (ค.ศ. ๑๙๕๗ - ๑๙๖๑)
- ระยะที่สาม คือ ช่วงการเน้นการปฏิวัติทางเทคโนโลยี (ค.ศ. ๑๙๖๑ - ๑๙๖๗) ต่อมาได้ยึดเวลาของโครงการฉบับที่ ๒ ออกไปอีก ๓ ปี (ค.ศ. ๑๙๖๘ - ๑๙๖๙) และได้ประกาศใช้โครงการเศรษฐกิจ ๖ ปี (ค.ศ.๑๙๗๑ - ๑๙๗๖) และโครงการเศรษฐกิจ ๗ ปี (ค.ศ. ๑๙๗๘ - ๑๙๘๔) ในปัจจุบัน
โครงการปฏิรูปประชาธิปไตยประชาชน ซึ่งประกาศใช้ในช่วง ค.ศ. ๑๙๔๕ - ๑๙๔๘ ได้โอนกิจการทุกชนิด ทั้งอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และเกษตรกรรมของชาวญี่ปุ่นและนายทุนนายหน้าชาวเกาหลีเข้าเป็นของรัฐ ใน ค.ศ. ๑๙๔๘ ธุรกิจทั้งหมดทั้งทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมในเกาหลีเหนือตกเป็นของรัฐถึงร้อยละ ๙๐.๗ ทางภาคเกษตรกรรม มีการประกาศใช้โครงการปฏิรูปที่ดิน ใน ค.ศ. ๑๙๔๖ รัฐบาลสามารถยึดและบังคับซื้อที่ดินของเอกชนได้ถึงร้อยละ ๙๘.๑ ของที่ดินทำกินทั้งหมดในเกาหลีเหนือต่อมา รัฐบาลได้จัดสรรที่ดินส่วนใหญ่ให้ชาวนาที่ไม่มีที่ดินทำกินและเจ้าของที่ดินขนาดเล็ก ที่ดินส่วนที่รัฐบาลได้จัดสรรให้คณะกรรมการพรรคระดับมณฑลและอำเภอ นำไปจัดสรรผลประโยชน์บำรุงกิจการของพรรคในระดับต่างๆ รวมทั้งการพัฒนาแหล่งที่ดินเสื่อมโทรมให้เหมาะสมเป็นที่ทำกินของประชาชนในรูปนิคมสร้างตนเอง หรือสหกรณ์การเกษตร นอกจากนั้นรัฐบาลยังได้จัดหาอุปกรณ์การเพาะปลูกให้ โดยหักรายได้ของสมาชิกในแต่ละปีจากรายรับที่ได้จากผลผลิตทางการเกษตร
คิมอิลซุงได้ตัดสินใจพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือตามแบบสหภาพโซเวียตที่สาธารณรัฐประชาชนจีนดำเนินรอยตามอยู่ ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาความเสียหายหลังสงคราม โดยเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมหนักเป็นพื้นฐาน ทั้งอุตสาหกรรมเหล็ก เครื่องจักรกล อู่ต่อเรือ เหมืองแร่ ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ฯลฯ ควบคู่กับการปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นเป้าหมายรองสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นมิตรประเทศที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือเกาหลีเหนือตลอดมา จนทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจฟื้นตัวและรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๓ เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยเหลือสร้างปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น ทางหลวงแผ่นดิน เขื่อนขนาดใหญ่ สนามบินและท่าเรือน้ำลึก เป็นต้น ประมาณกันว่าตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๔๙ - ๑๙๖๔ เกาหลีเหนือได้รับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตประมาณ ๕๕๐ ล้านเหรียญดอลลาร์ หรือประมาณร้อยละ ๔๐ ของความช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งหมด และจากสาธารณรัฐประชาชนจีนประมาณ ๔๑๗ ล้านเหรียญดอลลาร์ หรือประมาณร้อยละ ๓๘ ของความช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งหมด
สำหรับการปฏิวัติเกษตรกรรม ซึ่งเป็นเศรษฐกิจสังคมชนบท รัฐบาลเกาหลีเหนือใช้ระบบสหกรณ์การเกษตรรวม ๓ แบบ คือ
- สหกรณ์แบบพื้นฐาน รัฐบาลช่วยเหลือในการจัดตั้งให้ โดยให้สมาชิกสหกรณ์แต่ละแห่งช่วยกันผลิตอาหารและเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน โดยแยกทรัพย์สินกันในแต่ละครอบครัว สมาชิกสหกรณ์จึงได้รับผลประโยชน์ไม่เท่ากัน โดยมีสหกรณ์เป็นองค์การกลางในฐานะตัวแทนซื้อขายผลผลิตและบริการสินค้าจำเป็นแก่สมาชิก รวมทั้งเป็นตัวแทนรับความช่วยเหลือและเผยแพร่นโยบายของรัฐบาลแก่สมาชิกด้วย
- สหกรณ์แบบกึ่งคอมมูน สมาชิกสหกรณ์ทั้งหมดจะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตร่วมกัน ทั้งนี้โดยชาวนาเจ้าของที่ดินแต่ละครอบครัวจะนำอุปกรณ์การเกษตรและต้นทุนการผลิตทั้งหมดมาลงทุนร่วมกัน สำหรับการแบ่งสันปันส่วนผลิตผลที่ได้จะเฉลี่ยตามปริมาณทรัพย์สินที่สมาชิกแต่ละคนถือเป็นทุนเข้าร่วมกับสหกรณ์ สมาชิกแต่ละคนจึงได้รับผลประโยชน์ไม่เท่ากันเช่นกัน
- สหกรณ์แบบสังคมนิยมสมบูรณ์ ถือเอาปริมาณของแรงงานที่แต่ละคนใช้ในการสร้างผลผลิตเป็นเครื่องแบ่งรายได้จากการผลิต สมาชิกของสหกรณ์จะได้รับผลประโยชน์ไม่เท่ากันแต่ก็จะไม่แตกต่างกันมากนัก
ผลจากการรณรงค์ผลักดันของรัฐบาลและพรรคกรรมกรเกาหลีให้ชาวนาตระหนักถึงคุณค่าของส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว ตามโครงการที่ให้คนเกาหลีใช้แรงงานร่วมกันเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกในการสร้างสังคมที่เป็นธรรมขึ้น ทำให้ชาวนาส่วนใหญ่ซึ่งนิยมเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์แบบพื้นฐานและแบบกึ่งคอมมูนในระยะแรก หันมาเข้าเป็นสมาชิกแบบสังคมนิยมสมบูรณ์มากที่สุดถึงร้อยละ ๙๗.๕ ของจำนวนสมาชิกสหกรณ์ทั้งหมดใน ค.ศ. ๑๙๖๕ ความสำเร็จของระบบสหกรณ์การเกษตรของเกาหลีเหนือ ทำให้สามารถขจัดปัญหาขาดแคลนอาหารบริโภคที่มีมาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๓ ได้อย่างเด็ดขาด
ใน ค.ศ. ๑๙๕๗ อันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงประเทศจากสังคมกึ่งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ไปสู่สังคมนิยมอุตสาหกรรม เกาหลีเหนือได้ประกาศใช้ โครงการม้าบิน หรือ จอลลิมา (Chollima) อันเป็นโครงการที่มุ่งรณรงค์มวลชนและระดมทรัพยากรในประเทศทั้งหมดเพื่อขยายการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมให้เป็นพื้นฐานรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก
โครงการม้าบินของเกาหลีเหนือ ใช้วิธีการเน้นความสำคัญของนโยบายมวลชนด้วยการสร้างคำขวัญ และการปลุกระดมกระตุ้นประชาชนให้ร่วมมือกันเร่งขยายปริมาณการผลิตให้มีปริมาณและประสิทธิภาพสูง ยุทธวิธีที่ใช้ คือ พยายามกระจายอำนาจการตัดสินใจและวางแผนนโยบายเฉพาะด้าน จากอำนาจบริหารของรัฐบาลกลางให้แก่หน่วยการปกครองท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยผลิตและหน่วยปกครองพื้นฐานทั่วประเทศ สร้างระบบผู้นำร่วมในโรงงานอุตสาหกรรมและสหกรณ์การเกษตรทุกแห่งโดยให้สมาชิกพรรคกรรมกรเกาหลีแต่ละหน่วยผลิตตั้งคณะกรรมการพรรคประจำ เพื่อทำหน้าที่จัดการและบริหารงาน ควบคู่ไปกับการย้ำแนวทางมวลชนอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เพื่อเร่งเร้าหน่วยผลิตทั่วประเทศให้เพิ่มพูนประสิทธิภาพการจัดการและการบริหารงานให้ดียิ่งขึ้น
ผลของการรณรงค์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือตามโครงการม้าบินปรากฏว่าเกิดผลดีเกินคาด ผลผลิตทางด้านอุตสาหกรรมทุกประเภทในช่วง ค.ศ. ๑๙๕๗ - ๑๙๗๐ เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๑๙.๑ ต่อปี
สภาพทางสังคมของเกาหลีเหนือ
ทางด้านสังคมของเกาหลีเหนือ ได้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงแก้ไขเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมใหม่ภายใต้ระบอบสังคมนิยม โครงการที่นำมาใช้ คือ การปฏิวัติวัฒนธรรม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปลดแอกชนชั้นกรรมาชีพให้หลุดพ้นจากพันธนาการของสังคมเก่า ด้วยการยกเลิกขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติแบบเดิม และสร้างความเชื่อหรืออุดมการณ์ชีวิตแบบสังคมนิยมเข้าแทนที่เพื่อบรรลุตามนโยบายดังกล่าว มี ๒ ขั้นตอนสำคัญ คือ
ก. ขจัดปัญหาการไม่รู้หนังสือของประชาชน ควบคู่ไปกับการปฏิวัติวัฒนธรรมเพื่อสร้างวิถีชีวิตแบบใหม่ของมวลชนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการปฏิวัติทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ข. เร่งรัดพัฒนาการศึกษาระดับสูง โดยเน้นเรื่องความเชี่ยวชาญทางด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมสมัยใหม่ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ด้านการขจัดปัญหาการไม่รู้หนังสือของประชาชนใน ค.ศ. ๑๙๕๐ รัฐบาลได้ประกาศโครงการศึกษาภาคบังคับทั่วประเทศ โดยตั้งโรงเรียนกรรมกรชาวนา และโรงเรียนระดับกลางตามโรงงานอุตสาหกรรมและสหกรณ์การเกษตรทุกแห่ง สามารถขจัดปัญหาการไม่รู้หนังสือได้ภายใน ๙ ปี ขณะเดียวกันสามารถเผยแพร่อุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ได้ผลเป็นอย่างดี นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้ก่อตั้งสถาบันขั้นอุดมศึกษา ซึ่งก่อนหน้าที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์จะยึดครองยังไม่เคยมีมาก่อน ปัจจุบันเกาหลีเหนือมีสถาบันอุดมศึกษากว่า ๑๐๐ แห่ง โรงเรียนเทคนิคชั้นสูงเกือบ ๔๐๐ แห่ง
ทางด้านสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมต่างๆ รัฐบาลได้เร่งระดมเพื่อให้สงผลถึงประชาชนกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเขตชนบท เป็นผลให้ประชาชนฐานะยากจนในชนบทมีฐานะดีขึ้น
อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปแล้วนับได้ว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือ ได้เข้าไปควบคุมบงการชีวิตทางสังคมของประชาชนมากทีเดียว ประชาชนเกาหลีเหนือจะต้องใช้เวลาประมาณวันละถึง ๑ ใน ๓ ในการศึกษา และในองค์กรมวลชนของรัฐ การดำรงชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป ก็ค่อนข้างจะอยู่ในกรอบที่รัฐบาลวางไว้ตามอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ สิทธิเสรีภาพของประชาชนจึงต้องอยู่ในขอบเขตที่รัฐบาลกำหนดให้ เช่น การกำหนดและจำกัดเขตเดินทาง สื่อมวลชนเป็นของรัฐ ความไม่มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นต้น
ข. ปัญหาและอนาคตด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมเกาหลีเหนือ
ปัญหาและอนาคตด้านการเมืองของเกาหลีเหนือ
เกาหลีเหนือในอดีตและปัจจุบันภายใต้การนำของคิมอิลซุง นับได้ว่าดำเนินไปค่อนข้างราบรื่น ทั้งนี้ด้วยความสามารถในการใช้ยุทธวิธีทางการเมืองการทหาร และความเป็นผู้นำที่มีบารมีของคิมอิลซุง ในฐานะที่เป็นผู้สร้างชาติจนกระทั่งเกาหลีเหนือเป็นปึกแผ่นมั่นคงทำให้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ลุล่วงไปได้ อย่างไรก็ดี ยังเป็นที่หวั่นเกรงกันโดยทั่วไปว่า หากคิมอิลซุงถึงแก่อสัญกรรมอาจเกิดปัญหาวิกฤตการณ์ผู้นำขึ้นได้ แม้ว่าจะเชื่อกันว่าคิมอิลซุงคงจะสามารถใช้ยุทธิวิธีแนวทางมวลชนและแนวทางชนชั้นขจัดศัตรูคู่แข่งขันทางการเมืองของตนได้เช่นที่เป็นมาในอดีต และแม้จะมีแนวโน้มว่าคิมอิลซุงได้พยายามสร้างคิมจองอิล บุตรชายคนโตของตนให้เป็นทายาททางการเมืองก็ตาม แต่เนื่องจากปัจจุบันเกาหลีเหนือกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศโดยเฉพาะจากวิกฤตการณ์น้ำมัน จึงอาจเป็นปัจจัยก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นในอนาคตได้ อันเป็นผลเนื่องมาจากการขัดแย้งในอำนาจ และแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
หากคิมจองอิล ซึ่งเป็นบุตรชายที่คิมอิลซุงคาดหวังจะให้เป็นทายาททางการเมืองของตน เป็นที่ยอมรับในความสามารถ ปัญหาก็อาจหมดไปหรือเบาบางลง แต่หากไม่เป็นที่ยอมรับและคู่แข่งทางการเมืองของคิมอิลซุงสามารถรวมตัวกันได้ย่อมเกิดปัญหาขึ้น ทั้งนี้โดยการโจมตีว่ามีลักษณะผูกขาดอำนาจทางการเมืองอยู่เฉพาะในหมู่ญาติมิตรของตนเท่านั้น อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญน่าจะไม่ใช่เพียงเรื่องอำนาจทางการเมืองการทหารเท่านั้น ประเด็นทางเศรษฐกิจก็น่าจะเป็นปัจจัยชี้ขาดอีกประการหนึ่งด้วย กล่าวคือ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคตที่กำลังประสบปัญหาอยู่ไม่น้อยจะกลายเป็นปัจจัยตัดสินที่สำคัญซึ่งชี้ให้เห็นความถูกต้องหรือผิดพลาดของนโยบายการบริหารประเทศภายใต้การนำของคิมอิลซุงว่า สมควรจะต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ยุทธวิธีให้สอดคล้องตามสถานการณ์หรือไม่เพียงใด ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงการมีผลต่อการเปลี่ยนตัวผู้นำคนต่อไปของเกาหลีเหนือด้วย
ปัญหาและอนาคตด้านการต่างประเทศของเกาหลีเหนือ
สภาพที่ตั้งของเกาหลีเป็นคาบสมุทร เชื่อมระหว่างมหาอำนาจบนแผ่นดินใหญ่ คือ สหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางการเมืองและการทหารกับญี่ปุ่นซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง และยังเชื่อมโยงไปถึงสหรัฐอเมริกา ทำให้เกาหลีเหนือตกอยู่ในฐานะประเทศกันชน ระหว่างมหาอำนาจต่างๆ ประวัติศาสตร์ของเกาหลีจนกระทั่งปัจจุบัน จึงเป็นเวทีที่มหาอำนาจทุกฝ่ายต่างเข้ามามีบทบาทแข่งขันอำนาจกันเพื่อยึดครองตลอดมา
แม้ว่าจะได้มีการแบ่งแยกเกาหลีเหนือและใต้ออกจากกันอย่างเด็ดขาดแล้วก็ตาม แต่เกาหลีเหนือในปัจจุบันก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาด้านการต่างประเทศอยู่เสมอมา และแม้ว่าลักษณะการเผชิญหน้ากันในยุคสงครามเย็น (Cold War) ระหว่างฝ่ายโลกเสรีภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน จะทุเลาเบาบางลงไปมาก็ตาม แต่กลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ด้วยกันเองกลับขัดแย้งแข่งขันกันมากขึ้น
หลังจากการเผชิญหน้ากันอย่างตึงเครียดสิ้นสุดลงหลังสงครามเกาหลี การเมืองระหว่างประเทศได้ก้าวหน้าเข้าสู่ยุคประนีประนอมคืนดีกัน (Rapprochement) โดยที่ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) แห่งสหรัฐอเมริกาได้เดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งนำไปสู่การสถาปนาสัมพันธภาพทางการทูตต่อกันอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ค.ศ. ๑๙๗๙ การปรับความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสหรัฐอเมริกา นับเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาวะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออก ซึ่งแบ่งค่ายตามแนวอุดมการณ์ระหว่างคอมมิวนิสต์กับทุนนิยมไปอย่างชัดเจน สหรัฐอเมริกาซึ่งเคยกังวลว่าจะต้องทำสงคราม ๒ ด้าน เพราะสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหภาพโซเวียตร่วมมือกัน แต่เมื่อสามารถปรับเปลี่ยนสถานการณ์ได้ สหภาพโซเวียตกลับต้องกังวลกับการร่วมมือระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสหรัฐอเมริกาแทน สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพโซเวียตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนกลับขัดแย้งกันรุนแรงมากขึ้น ซึ่งมิใช่ปัญหาอันเนื่องมาจากด้านอุดมการณ์การเมืองเพียงประการเดียวเท่านั้น แต่ขัดแย้งกันด้วยเรื่องผลประโยชน์ของชาติที่แตกต่างกันอีกด้วย ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบถึงแนวนโยบายต่างประเทศของเกาหลีเหนืออย่างมาก เพราะเดิมทีนั้น เมื่อสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนยังมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เกาหลีเหนือได้รับความช่วยเหลือค้ำจุนจากทั้ง ๒ ประเทศตลอดมา กระทั่งเกาหลีเหนือสามารถพัฒนาประเทศจนพึ่งตนเองได้ จึงเป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับเกาหลีเหนือที่จะรักษาผลประโยชน์ของตน ด้วยการพยายามรักษาความสัมพันธ์กับทั้ง ๒ ประเทศ ไม่ให้มีมากน้อยยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะหากไปสนิทสนมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นพิเศษย่อมจะกลายเป็นศัตรูกับอีกประเทศหนึ่งไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อเกาหลีเหนือในระยะยาว
ความพยายามของเกาหลีเหนือ เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งแข่งขันระหว่างสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน กระทำโดยพยายามพัฒนาการมีสัมพันธภาพทางการทูตและการค้ากับประเทศโลกเสรีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศในกลุ่มอาเซียนในรูปการกู้ยืมสินเชื่อต่างๆ เพื่อหาทางลดความผูกพันและลดการพึ่งพามหาอำนาจทั้งสองลง อย่างไรก็ดี ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนว่า เกาหลีเหนือมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับสาธารณรัฐประชาชนจีนมากกว่าสหภาพโซเวียต เนื่องจากสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่เกาหลีเหนือเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ในระยะหลังสหภาพโซเวียตเร่งรัดการชำระหนี้โดยไม่ยอมผ่อนปรนให้ดังแต่ก่อน
แนวโน้มที่แสดงว่าเกาหลีเหนือมีความสนิทสนมกับสาธารณรัฐประชาชนจีนมากขึ้น
เห็นได้จากการเดินทางไปเยือนประเทศนี้ของประธานาธิบดีคิมอิลซุง เป็นเวลานานถึง ๑๐ วัน
ปัญหาและอนาคตด้านเศรษฐกิจและสังคมของเกาหลีเหนือ
(๑) ปัญหาและอนาคตด้านเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือ
แม้ว่าเกาหลีเหนือจะเคยประสบผลสำเร็จด้านการพัฒนาเศรษฐกิจมาก่อน แต่ในปัจจุบัน เกาหลีเหนือก็ไม่อาจหลีกพ้นจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศซึ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้นตั้งแต่ช่วง ค.ศ. ๑๙๗๓ ไปได้ วิกฤตการณ์น้ำมันเป็นปัญหามูลฐานที่เกาหลีเหนือต้องประสบเนื่องจากเกาหลีเหนือต้องใช้น้ำมันในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก แต่เกาหลีเหนือไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตนเอง ดังนั้น เมื่อพยายามจะใช้นโยบายเปิดประเทศมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาประเทศมหาอำนาจสังคมนิยมซึ่งขัดแย้งกันและเพื่อแก้ปัญหาภาวะเศรษฐกิจด้วยการขยายการค้าระหว่างประเทศ ก็ยังมีปัญหาขาดประสบการณ์และความสามารถทางการผลิตที่ยังสู้ต่างประเทศไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถแสวงหาเงินตราต่างประเทศ เพื่อนำไปชำระหนี้ที่กู้ยืมมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะกับญี่ปุ่นและประเทศยุโรปบางประเทศได้ทันกำหนดเวลา เป็นผลให้ไม่สามารถเพิ่มการกู้ยืมเงินทุนเพื่อใช้พัฒนาประเทศได้ดังแต่ก่อน สินค้าออกสำคัญของเกาหลีเหนือซึ่งได้แก่ สินแร่และโลหะต่างๆ นั้นก็ประสบปัญหาราคาในตลาดโลกไม่แน่นอน ทำให้กระทบกระเทือนการส่งออกเป็นอันมาก การที่เกาหลีเหนือยังคงทุ่มเทงบประมาณด้านการทหารมากเกินไปเพื่อหวังรวมเกาหลีให้เป็นอันเดียวกัน เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เป็นผลให้เกาหลีเหนือในปัจจุบันต้องประสบปัญหายุ่งยากทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง พิจารณาโดยส่วนรวมแล้วจึงปรากฏว่าเศรษฐกิจของเกาหลีใต้มีลักษณะรุดหน้ากว่าเกาหลีเหนือ ทั้งนี้ก็เนื่องจากเกาหลีใต้ใช้การพัฒนาเศรษฐกิจแบบแข่งขัน เพื่อความเจริญก้าวหน้าของระบอบทุนนิยมมากกว่าที่จะเน้นการเฉลี่ยกระจายเพื่อความเสมอภาคของระบอบสังคมนิยมแบบเกาหลีเหนือ ลักษณะของเกาหลีใต้จึงเป็นภาพเปรียบเทียบท้าทายต่อสภาพทางเศรษฐกิจการเมืองของเกาหลีเหนือมากทีเดียว
อย่างไรก็ดี การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือคงจะไม่ใช้วิธีหันกลับไปพึ่งพาขอความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหภาพโซเวียต และสาธารณรัฐประชาชนจีนมากดังเช่นในอดีตอีก เพราะประเทศทั้งสองก็ประสบปัญหาเช่นกัน แนวโน้มจึงน่าจะเป็นไปได้ว่า เกาหลีเหนือคงต้องดำเนินนโยบายเปิดประเทศเพื่อขอรับความช่วยเหลือร่วมมือจากต่างชาติให้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน คงจะมีการพัฒนาปรับปรุง หรืออาจถึงขั้นเปลี่ยนแปลงแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น ดังเช่นที่สาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังเร่งดำเนินการอยู่ คือ การนำเอาวิธีการอันจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศทุนนิยมมาใช้ โดยเฉพาะหลักแรงจูงใจด้วยการให้ผลประโยชน์ทางวัตถุตอบแทน และการขยายการผลิตโดยให้ประชาชนสามารถแข่งขันกันได้บางส่วน เพื่อการขยายผลผลิตของประเทศโดยส่วนรวมให้เพิ่มปริมาณมากขึ้น อันจะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นกว่าเดิม แต่ทั้งนี้จะต้องให้สอดคล้อง หรืออย่างน้อยก็ต้องไม่ขัดต่อเอกลักษณ์ของระบอบเผด็จการประชาธิปไตยประชาชนภายใต้การนำของพรรคแรงงานเกาหลี เพราะมิเช่นนั้นอาจส่งผลกระทบถึงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของระบอบสังคมนิยมของเกาหลีเหนือในระยะยาวได้
(๒) ปัญหาและอนาคตด้านสังคมของเกาหลีเหนือ
การที่เกาหลีเหนือต้องประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง อันเป็นผลโดยตรงมาจากวิกฤตการณ์น้ำมัน ซึ่งทำให้ภาวะเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือต้องอยู่ในภาวะชะงักงัน ไม่สามารถเพิ่มขยายการลงทุนได้อย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดปัญหาด้านสังคมติดตามมา โอกาสที่ประชาชนเกาหลีเหนือจะมีชีวิตความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจสังคมดีขึ้น จึงขึ้นอยู่กับความสามารถทางเศรษฐกิจของผู้นำรัฐบาลและพรรคแรงงานเกาหลีเหนือเป็นอย่างมากว่า จะสามารถปรับตัวได้ดีมากน้อยเพียงใด ในอนาคตหากรัฐบาลเกาหลีเหนือไม่สามารถแก้ไขปัญหาสวัสดิการด้านต่างๆ ของประชาชนให้ดีขึ้นได้ อาจเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหาประชาชนไม่พอใจลุกฮือขึ้นต่อต้านประท้วงรัฐบาล ดังกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นถึงขันวิกฤตการณ์ในโปแลนด์ซึ่งเป็นประเทศสังคมนิยมมาแล้ว ในลักษณะที่ประชาชนในกลุ่มสาขาอาชีพแรงงานต่างๆ ขอเข้ามีส่วนร่วมในการบริหาร แก้ไขเศรษฐกิจของชาติ นั่นย่อมหมายถึงผลกระทบที่จะมีต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของเกาหลีเหนือในระยะยาวอย่างแน่นอน
เกาหลีใต้
ภายหลังการสถาปนาสาธารณรัฐเกาหลี (Republic of Korea) หรือเกาหลีใต้ขึ้นอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. ๑๙๔๘ ซิงมันรี อดีตผู้นำชาตินิยมที่มีประวัติการต่อสู้อย่างโชกโชนได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และเขาสามารถผูกขาดอำนาจของประเทศไว้ได้อย่างมั่นคงภายใต้การนำของพรรคเสรีนิยม (Liberal Party)
ก. สภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของเกาหลีใต้
การพิจารณาสภาพการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของเกาหลีใต้ อาจแบ่งได้เป็น ๔ ยุค คือ
๑. เกาหลีใต้ภายใต้การปกครองสมัยซิงมันรี ในยุคนี้เกาหลีใต้ได้รับการสนับสนุนค้ำจุนจากสหรัฐอเมริกาอย่างมากทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศหลังสงครามให้ฟื้นตัว แต่พื้นฐานเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ได้ไม่เอื้ออำนวยต่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เนื่องจากถูกลุ่มเศรษฐกิจผูกขาดตักตวงผลประโยชน์เพื่อคนกลุ่มน้อยโดยร่วมมือกับกลุ่มการเมืองผูกขาดของซิงมันรี สำหรับทรัพย์สินในวงการธุรกิจต่างๆ ของเกาหลีใต้ประมาณร้อยละ ๙๐ เคยเป็นของญี่ปุ่นสมัยเข้ามายึดครองเกาหลี เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบลง ทรัพย์สินดังกล่าวได้ตกเป็นของรัฐบาลซึ่งไม่มีความสามารถที่จะดำเนินการได้ด้วยตนเอง รัฐบาลซิงมันรีจึงได้นำธุรกิจดังกล่าวไปจัดสรรให้เอกชนซึ่งเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่มีความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับกลุ่มของตน โดยมอบหมายให้ดำเนินธุรกิจเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งเป็นธุรกิจที่ให้ผลกำไรในระยะสั้นแต่มีความมั่นคงแน่นอน ส่วนรัฐบาลเข้ารับภาระในธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการลงทุนสูงและให้ผลกำไรในระยะยาวกับทั้งมีอัตราเสี่ยงสูง ในที่สุด เกาหลีใต้ต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรง อันเนื่องมาจากรัฐบาลไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับไม่สามารถควบคุมธุรกิจเอกชนให้ดำเนินตามนโยบายของรัฐบาลได้เพราะรัฐบาลซิงมันรีมีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสูงขึ้นอย่างมาก และค่าเงินตราสกุลวอนของเกาหลีใต้ตกต่ำ บรรดาประชาชนผู้มีรายได้ต่ำ โดยเฉพาะกรรมกรชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ต้องประสบความยากลำบากกันอยู่ทั่วไป จึงไม่สามารถแก้ไขสภาวะปัญหาว่างงานหลังสงครามให้ลดน้อยลงได้ ขณะเดียวกันก็มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างกว้างขวางอีกด้วย
ต่อมา เมื่อเสถียรภาพของรัฐบาลเริ่มคลอนแคลน ซิงมันรีจึงถือโอกาสแก้ไขรัฐธรรมนูญบางประการเสียใหม่เพื่อค้ำจุนฐานะของตน โดยแก้ไขให้ตำแหน่งประธานาธิบดีต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แทนการเลือกตั้งโดยการซาวเสียงของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เนื่องจากซิงมันรีเริ่มไม่มั่นใจในการสนับสนุนของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเริ่มมองเห็นความไร้ความสามารถของเขาในการแก้ปัญหา คือ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประเทศชาติได้ เช่น ไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญอย่างรวดเร็วได้ และอุตสาหกรรมใหม่ๆ แทบไม่มีขึ้นเลย ในขณะเดียวกัน ด้านการเกษตรก็ได้ผลผลิตต่ำ ทำให้เกิดความอดอยากและค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างมากปรากฏว่าในระหว่าง ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๙ ค่าครองชีพสูงขึ้นถึงร้อยละ ๕๐๐ ตลอดจนการผูกขาดอำนาจทางการเมืองในลักษณะพยายามนำเอาระบอบเผด็จการเข้ามาใช้มากขึ้น ซิงมันรีจึงไม่หวังที่จะได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ซิงมันรีก็ยังหวังจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ในชนบทที่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง ซึ่งยังคงนิยมศรัทธาตัวเขา ในฐานะเคยเป็นผู้นำชาตินิยมต่อสู้เพื่อเอกราชของเกาหลีใต้ในอดีต
อย่างไรก็ดี แม้ซิงมันรีจะใช้อำนาจเผด็จการเฉียบขาดกับคู่ปรปักษ์ทางการเมือง โดยใช้องค์การสืบราชการลับของเกาหลีใต้ (K.C.I.A.) เป็นเครื่องมือเพื่อการจับกุมคุมขังสั่งปิดหนังสือพิมพ์ฝ่ายค้าน โกงการเลือกตั้ง ฯลฯ แต่ก็ไม่อาจปิดกั้นการต่อต้านรัฐบาลจากประชาชนฝ่ายต่างๆ ได้ สถานการณ์ที่มีส่วนค้ำจุนฐานะของซิงมันรีได้ทันเวลา คือ สงครามเกาหลี ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากเกาหลีใต้สถาปนาประเทศได้เพียง ๒ เดือนเท่านั้น โดยมีสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ๑๕ ชาติให้การสนับสนุนด้านกำลังทหารในรูปการปฏิบัติการขององค์การสหประชาชาติ ทำให้สามารถยุติสงครามเกาหลีใต้หลังจากสงครามดำเนินไป ๓ ปี ทั้งนี้ด้วยความเป็นห่วงดุลอำนาจในเอเชียที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นฝ่ายได้เปรียบ เมื่อซิงมันรีมั่นใจในเสถียรภาพของตนมากยิ่งขึ้นเนื่องจากได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากสหรัฐอเมริกา จึงปกครองประเทศในลักษณะเผด็จการมากยิ่งขึ้น ต่อมา ใน ค.ศ. ๑๙๕๔ จึงได้แก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้งหนึ่ง โดยยกเลิกข้อห้ามบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นประธานาธิบดีติดต่อกันมากกว่า ๒ สมัย หลังจากนั้น ก็ได้ประกาศกฎอัยการศึกและจับกุมคุมขังผู้คัดค้านอำนาจเผด็จการของเขาอย่างกว้างขวาง
การสูญสิ้นอำนาจของซิงมันรี เกิดจากการลุกฮือของนักศึกษาประชาชนทั่วประเทศด้วยความโกรธแค้นต่อการโกงการเลือกตั้งอย่างมโหฬารของเขาใน ค.ศ. ๑๙๖๐ ซิงมันรีรู้ว่าตนจะต้องพ่ายแพ้ จึงได้ใช้วิธีการสกปรกทุกรูปแบบเพื่อให้ตนชนะการเลือกตั้ง เช่น การโกงการลงคะแนนเสียง การคุกคามผู้สนับสนุนนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม การลอบสังหารคู่แข่งขัน ฯลฯ จนกระทั่งเป็นผลให้พรรคเสรีนิยมชนะการเลือกตั้ง แม้ซิงมันรีจะใช้อำนาจประกาศกฎอัยการศึกสั่งให้ตำรวจปราบปรามจลาจลระดมยิงผู้ต่อต้านอย่างทารุณ แต่ไม่อาจต้านทานคลื่นประท้วงของประชาชนได้ และในที่สุดเมื่อกำลังทหารและตำรวจกลับหันเข้าร่วมมือกับกลุ่มผู้ต่อต้าน อำนาจผูกขาดของซิงมันรีจึงสิ้นสุดลงภายหลังการเลือกตั้งเพียง ๖ สัปดาห์ เนื่องจากซิงมันรีทนต่อความกดดันของประชาชนไม่ไหวจึงยอมลาออกจากตำแหน่งหนีไปอยู่ที่ฮาวาย และถึงแก่กรรมที่นั่นโดยไม่ได้กลับไปเกาหลีใต้อีกเลย
๒. เกาหลีใต้ยุคประชาธิปไตยเฟื่องฟูสมัยจางเมียน เกาหลีใต้ภายหลังซิงมันรีหมดอำนาจ มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใน ค.ศ. ๑๙๖๐ ลดอำนาจประธานาธิบดีให้เป็นเพียงประมุขของรัฐที่เป็นสัญลักษณ์หรือประธานในงานรัฐพิธีเท่านั้น โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำรัฐบาลที่มีอำนาจที่แท้จริงแทนผลการเลือกตั้งในปีเดียวกัน ปรากฏว่าสมาชิกพรรคประชาธิปไตยได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร มีเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จางเมียน (Chang Myon) หัวหน้าพรรคได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และยุนโปซุน (Yun Po Sun) เป็นประธานาธิบดี
ผลจากการถูกปิดกั้นเสรีภาพทางการเมืองในสมัยรัฐบาลซิงมันรี ทำให้ประชาชนนิสิตนักศึกษาและปัญญาชนโดยทั่วไป ตื่นตัวต่อการใช้สิทธิใช้เสียงทางการเมืองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์การนักศึกษาได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทชี้นำทางการเมืองประดุจเป็นรัฐบาลเงา ความเรียกร้องต้องการของกลุ่มพลังทางการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ในการใช้สิทธิทางาการเมืองด้วยการชุมนุมเดินขบวนเรียกร้องผลประโยชน์ที่ถูกรัฐบาลซิงมันรีลิดรอนและปิดกั้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงานต่างๆ ตลอดรวมถึงสื่อมวลชน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ที่ใช้เสรีภาพกันอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดสภาพไร้ระเบียบยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายไร้เสถียรภาพทางการเมือง โดยที่รัฐบาลก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาพื้นฐานของประเทศในทุกๆ ด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่รัฐบาลก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาพื้นฐานของประเทศในทุกๆ ด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การฉ้อราษฎร์บังหลวงและอื่นๆ และยังไม่ทันที่ระบอบประชาธิปไตยจะค่อยๆ พัฒนาเข้ารูปเข้ารอยตามครรลอง ซึ่งต้องการระยะเวลาปรับตัวพอสมควรเพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจวิถีทางของความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ทหารก็เข้าทำการแทรกแซง การที่กลุ่มทหารและกลุ่มธุรกิจชั้นนำมองสภาพการณ์ดังกล่าวว่าเป็นความระส่ำระสายและไร้เสถียรภาพทางการเมือง โดยเกรงจะเป็นภัยอันตรายต่อการแทรกแซงทางการเมืองจากเกาหลีเหนือเช่นในอดีต ประกอบกับกำลังทัพของทหารเกาหลีใต้ ที่สหรัฐอเมริกาให้ความสนับสนุนมีความเข้มแข็งมากขึ้น ฝ่ายทหารภายใต้การนำของพลตรีปักจุงฮี (Pak Jung Hi) จึงสามารถทำรัฐประหารได้เป็นผลสำเร็จใน ค.ศ. ๑๙๖๑ โดยอ้างความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลพลเรือน อย่างไรก็ดี รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีจางเมียนก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐบาลเดียวของเกาหลีใต้ที่พยายามสร้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและเคารพสิทธิมนุษยชน
๓. เกาหลีใต้ยุคเผด็จการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสมัยปักจุงฮี หลังจากทำรัฐประหารขับนายกรัฐมนตรีจางเมียนออกจากตำแหน่ง พลตรีปักจุงฮีได้เข้ารับตำแหน่งเป็นประธานสูงสุดเพื่อการสร้างชาติ และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใน ค.ศ. ๑๙๖๒ ปักจุงฮีก็ได้ตั้งพรรคสาธารณรัฐประชาธิปไตย (Democratic Republican Party) และขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค โดยยุบเลิกสภาสูงเพื่อสร้างชาติเสียตลอดระยะเวลาที่ประธานาธิบดีปักจุงฮีเป็นผู้นำของเกาหลีใต้ มิได้สนับสนุนระบอบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้กลุ่มผลประโยชน์แข่งขันกันโดยสันติวิธีอย่างแท้จริง แต่จะอ้างเป้าหมายการพัฒนาปรับปรุงเศรษฐกิจของชาติ และการปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อใช้อำนาจสูงสุดเด็ดขาดปราบปรามฝ่ายค้านที่ต่อต้านอำนาจของเขาในทุกรูปแบบตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการจับกุมคุมขับ ลักพาตัวตลอดจนการข่มขู่ทรมานต่างๆ ทั้งนี้โดยใช้การประกาศกฎอัยการศึกและภาวะฉุกเฉินเป็นเครื่องมือ
ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ใน ค.ศ. ๑๙๖๒ ปักจุงฮีได้จัดตั้งพรรคสาธารณรัฐประชาธิปไตย เปลี่ยนฐานะตนเองจากตำแหน่งประธานสภาปฏิวัติสูงสุดมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๖๒ เป็นต้นมาติดต่อกันถึง ๖ ปี ทำให้ปักจุงฮีมีอำนาจมากขึ้น มีฐานะทางการเมืองที่มั่นคงมาตลอด และยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งสำคัญใน ค.ศ. ๑๙๗๒ ที่เรียกกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับยูซิน (Gushin Constitution) รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีหลักการสำคัญๆ ที่ล้วนแต่เป็นเงื่อนไขสนับสนุนปักจุงฮีและพรรคพวกให้มีโอกาสคุมอำนาจทางการเมือง โดยเฉพาะกำหนดให้ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นตำแหน่งที่คนคนเดียวสามารถครองอำนาจได้ตลอดกาล โดยจะสมัครรับเลือกตั้งหรือเคยเป็นประธานาธิบดีมากี่ครั้งก็ได้ ปักจุงฮีจึงอยู่ในตำแหน่งได้ไม่จำกัดสมัย
นอกจากนั้น อำนาจประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญฉบับยูซินยังนับว่ามีกว้างขวางเด็ดขาดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา ๕๓ และ ๕๔ ให้อำนาจประธานาธิบดีในภาวะคับขันที่จะใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อกิจการด้านการป้องกันประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคงภายใน เศรษฐกิจการคลังของประเทศตลอดจนการแทรกแซงอำนาจของศาล รัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจที่จะหน่วงเหนี่ยวสิทธิเสรีภาพขั้นมูลฐานของประชาชนได้เพื่อการแก้ไขวิกฤตการณ์ของประเทศ กับให้อำนาจออกคำสั่งระดมกำลังตำรวจทหารทุกเหล่าทัพ เพื่อรักษาระเบียบของสังคมและความมั่นคงปลอดภัยของประเทศได้ทุกเวลา ตามดุลพินิจของประธานาธิบดี โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแต่อย่างใด และยังสามารถประกาศกฎอัยการศึกได้ตามที่เห็นว่าเหมาะสมอีกด้วย
สำหรับตำแหน่งประธานาธิบดี มาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิกสภาแห่งชาติเพื่อเอกภาพ (National Conference for Unification) ซึ่งประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งมาจากบุคคลสาขาอาชีพต่างๆ แต่ในทางปฏิบัติปรากฏว่าปักจุงฮีได้แต่งตั้งบรรดานายทหารระดับคุมกำลังและนักธุรกิจชั้นนำ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกับรัฐบาลเข้าเป็นฐานกำลังให้รัฐบาลและแม้จะมีชาวไร่ชาวนาและคนนอกราชการร่วมด้วยแต่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ปักจุงฮีให้ความเห็นชอบ
ส่วนสภานิติบัญญัติไม่มีอำนาจควบคุมฝ่ายบริหารแต่อย่างใด ประธานาธิบดีสามารถปราศใช้กฎหมายได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติในภาวะประกาศกฎอัยการศึกและภาวะฉุกเฉินอีกด้วย สมาชิกสภานิติบัญญัติของเกาหลีได้มี ๒ ประเภท คือ ประเภทที่มาจากการแต่งตั้งจะมีจำนวน ๑ ใน ๓ ของทั้งหมด อยู่ในวาระครั้งละ ๖ ปี ส่วนสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งจะมีจำนวน ๒ ใน ๓ ของทั้งหมด แต่อยู่ในวาระได้เพียงครั้งละ ๓ ปี
อำนาจที่มีความสำคัญอีกอำนาจหนึ่ง คือ อำนาจตุลาการในเกาหลีใต้ อำนาจนี้ยังคงมีอิสระอยู่พอสมควร แต่กระนั้น ก็มักถูกแทรกแซงโดยคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีอยู่เสมอ ซึ่งรัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้ลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐและความผิดทางการเมืองได้ นักโทษการเมืองในเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ซึ่งมิได้รับการปฏิบัติตามครรลองของสิทธิมนุษยชน จึงมิได้รับการพิจารณาคดีโดยกระบวนการยุติธรรมในศาลปกติ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปักจุงฮีจะใช้อำนาจผูกขาดบทบาทการเป็นผู้นำไว้แต่เพียงผู้เดียวตลอดระยะเวลาเกือบ ๒๐ ปี แต่ผลสำเร็จของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศก็เป็นผลงานชิ้นสำคัญที่ทำให้ปักจุงฮียังเป็นที่ยอมรับของประชาชนอยู่ แม้ว่ามีฝ่ายคัดค้านอยู่ไม่น้อยก็ตาม ทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่มีอัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็วที่สุดประเทศหนึ่งในบรรดาชาติกำลังพัฒนาทั่วโลก
เมื่อปักจุงฮีขึ้นสู่อำนาจ ได้ระดมนักวิชาการทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากนั้นจึงได้กำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ๕ ปีฉบับแรก (ค.ศ. ๑๙๖๒-๑๙๖๖) เร่งแก้ปัญหาช่องว่างทางรายได้ของประชาชนให้น้อยลง พยายามเร่งขยายเนื้อที่เพาะปลูกและขยายผลผลิตทางการเกษตรให้สูงขึ้น พัฒนาแหล่งพลังงานถ่านหินและทรัพยากรธรรมชาติ ขยายการลงทุนอุตสาหกรรมทุกประเภท ปรับปรุงความชำนาญทางเทคโนโลยี และปรับปรุงชำระหนี้ต่างประเทศให้ดีขึ้นโดยเร่งการขยายการส่งออก นับว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ๕ ปี ฉบับแรกประสบความสำเร็จสูงพอสมควร โดยการตั้งเป้าหมายยกระดับเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ให้อยู่ในระดับสูงกว่าครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้ว
นอกจากที่กล่าวมา ยังมีโครงการสำคัญ คือ โครงการซามาเอิล อุนดง (Saemaul Undong) อันเป็นโครงการพัฒนาชนบท ที่มุ่งปรับปรุงชนบทให้มีความเจริญเพื่อแก้ปัญหาความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบทให้มีน้อยที่สุด เช่น ความแตกต่างทางรายได้ซึ่งนับวันแต่จะมากขึ้น จึงพยายามเร่งการผลิตในชนบทให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในปัจจุบันเกาหลีใต้กำลังอยู่ในระหว่างการใช้แผนพัฒนา ๕ ปี ฉบับที่ ๔ (ค.ศ. ๑๙๗๗ - ๑๙๘๑) มุ่งพัฒนากิจการอื่นๆ เช่น การประมง เข้ามาแทนที่ภาคเกษตรกรรม เพราะเกาหลีมีปัญหาเรื่องการขยายแหล่งทำกินให้เกษตรกร เนื่องจากที่ดินมีจำกัดจึงต้องปรับปรุงอาชีพอย่างอื่นขึ้นมาแทน ในขณะเดียวกันก็เน้นการผลิตสินค้าประเภทอุตสาหกรรมที่เป็นสินค้าออกสำคัญทำรายได้ให้แก่ประเทศจำนวนมาก เช่น สิ่งทอ เสื้อผ้าชนิดต่างๆ รองเท้า วิทยุ และโทรทัศน์ เป็นต้น ดังนั้น จึงมีการเน้นส่งเสริมทางด้านอุตสาหกรรมมากกว่าด้านเกษตรกรรม
เมื่อประเมินผลจากการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ฉบับที่ ๑ ถึงฉบับที่ ๔ ที่ผ่านมา ปรากฏว่าเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จมากทีเดียว กล่าวคือ นับตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๖๒ เป็นต้นมา โดยเฉลี่ยสามารถเพิ่มรายได้ประชาชาติประมาณร้อยละ ๙ ต่อปี และกระทั่งสิ้นสุดแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ ๓ ปรากฏว่าปริมาณสินค้าขาออกของเกาหลีใต้มีมูลค่าสูงขึ้นเกือบ ๒๐๐ เท่า รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรเพิ่มขึ้นกว่า ๑๐๐ เท่า นอกจากนั้น เกาหลีใต้ยังสามารถแก้ปัญหาดุลการค้าเสียเปรียบได้เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. ๑๙๗๗ อย่างไรก็ดี ผลจากการพัฒนาดังกล่าวได้ก่อให้เกิดปัญหาช่องว่างทางรายได้ระหว่างเมืองกับชนบทแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ฝ่ายค้านโจมตีคัดค้านปักจุงฮีตลอดมา
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยเกื้อหนุนความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ มิใช่เกิดจากความเด็ดขาดเข้มแข็งและการปราบปรามทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงของปักจุงฮีเป็นปัจจัยหลักประการเดียว แต่ยังประกอบด้วยปัจจัยพื้นฐานของเกาหลีใต้อีกหลายประการ คือ
(๑) การที่ประชาชนเกือบทั้งประเทศรู้หนังสือ จึงเป็นแรงงานที่มีคุณภาพสูงประกอบกับคนเกาหลีเป็นคนขยันหมั่นเพียรและมีความเป็นชาตินิยมสูง ยิ่งช่วยให้แผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศลุล่วงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(๒) การที่รัฐบาลปักจุงฮีใช้อำนาจเด็ดขาดควบคุมแรงงาน ไม่ยอมให้เรียกร้องค่าแรงงานเพิ่มจึงทำให้ค่าแรงมีราคาถูก ต้นทุนการผลิตสินค้าจึงถูกตามไปด้วย สามารถส่งไปขายแข่งขันในต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และมีผลดึงนักลงทุนและแหล่งเงินทุนนอกประเทศให้เข้าไปประกอบกิจการอุตสาหกรรมในเกาหลีใต้มากขึ้น
(๓) การที่รัฐบาลเร่งขยายการสร้างปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการผลิต ทั้งโรงงานไฟฟ้าพลังน้ำและพลังน้ำมันขนาดใหญ่ โรงงานผลิตเหล็กกล้า วัสดุเคมีและโรงงานผลิตปุ๋ย เป็นต้น ล้วนเป็นปัจจัยในการพัฒนาเกษตรกรรมแผนใหม่ทั้งสิ้น โดยที่เกาหลีเน้นพัฒนาทั้งด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมควบคู่กันไป
อย่างไรก็ดี ผลเสียของการที่รัฐบาลปักจุงฮีลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางการเมืองและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยพากันประท้วงตลอดมาเป็นระยะๆ ปักจุงฮีก็ได้ประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อปราบปรามตอบโต้เช่นกัน รวมทั้งสิ้นถึง ๙ ฉบับ โดยเฉพาะคำสั่งฉบับที่ ๙ ระบุห้ามการเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญยูซิน หรือการกระจายเสียงตีพิมพ์เผยแพร่ข้อความใดๆ ที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญ ผู้ฝ่าฝืนอาจได้รับโทษจำคุก ๑๕ ปี
ปักจุงฮีได้ใช้มาตรการทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ระบบตำรวจลับและข่ายงานของหน่วยสืบราชการลับเกาหลี เช่น ส่งหน่วย เค.ซี.ไอ.เอ. ไปลักพาตัว คิมแดจุง (Kim Dae Jung) คู่แข่งทางการเมืองซึ่งถูกปักจุงฮีโกงการเลือกตั้งและได้ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในญี่ปุ่น ตลอดเวลาดังกล่าว คิมแดจุงได้ดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อต่อต้านปักจุงฮีในญี่ปุ่น ปักจุงฮีจึงส่งหน่วย เค.ซี.ไอ.เอ. ลักพาตัวและนำกลับมาจำคุกในกรุงโซลสำเร็จใน ค.ศ. ๑๙๗๔ ต่อมาหลังจากถูกควบคุมตัวอยู่ถึง ๓ ปี คิมแดจุงได้ร่วมมือกับผู้นำฝ่ายค้านและผู้นำศาสนา ปัญญาชน รวมทั้งยุนโปซุนอดีตประธานาธิบดี รวมทั้งหมด ๑๒ คน ลงนามใน “ปฏิญญาเพื่อการกู้ชาติประชาธิปไตย” ณ วันที่ ๑ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๗๖ เรียกร้องให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของประชาธิปไตย ตรวจสอบเค้าโครงและโครงร่างของพื้นฐานทางเศรษฐกิจเสียใหม่ และเรียกร้องให้มีการรวมชาติเกาหลีให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในที่สุด ผู้นำฝ่ายค้านถูกจับกุมข้อหาสมคบกันวางแผนโค่นล้มรัฐบาลตามคำสั่งมาตรการฉุกเฉิน ฉบับที่ ๙
การประท้วงครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๗๙ เมื่อคิมยังซัม (Kim Yang Sum) สมาชิกสภาผู้แทนจังหวัดปูซานได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ (New Democratic Party) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน คิมยังซัมประกาศจะทำการรณรงค์ทั่วประเทศ ปลุกระดมให้ประชาชนลุกฮือขึ้นโค่นล้มปักจุงฮี เขาเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาใช้อิทธิพลบีบบังคับให้ปักจุงฮีคืนประชาธิปไตยให้ชาวเกาหลีใต้ คณะรัฐบาลปักจุงฮีไม่พอใจมากถือว่าคิมยังซัมกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล เรียกร้องให้ต่างชาติเข้าแทรกแซงกิจการภายในอันเป็นการเสียหายต่อเกียรติภูมิของชาติ สมาชิกสภาผู้แทนฝ่ายรัฐบาลได้ประชุมขับคิมยังซัมออกจากสมาชิกภาพ โดยไม่ยอมให้สมาชิกสภาผู้แทนฝ่ายค้านเข้าร่วมด้วย ฝ่ายค้านจึงลาออกทั้งหมด ต่อมานักศึกษาประชาชนเกาหลีจึงพากันเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลจนเกิดการปะทะกันถึงขั้นจลาจล ในที่สุดปักจุงฮีประกาศกฎอัยการศึกปราบปรามจลาจลสำเร็จในช่วงกลางเดือนตุลาคมปีเดียวกัน โดยอ้างว่าเป็นแผนก่อความวุ่นวายของเกาหลีเหนือ
ทางด้านสหรัฐอเมริกาซึ่งให้การสนับสนุนค้ำจุนอำนาจของปักจุงฮีตลอดมา แต่ในสมัยประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ มีนโยบายเน้นทางด้นสิทธิมนุษยชน ทำให้สหรัฐอเมริกาไม่เห็นด้วยกับการปกครองแบบเผด็จการของปักจุงฮี จึงเริ่มมีท่าทีบาดหมางต่อกัน เพราะรัฐบาลปักจุงฮีมีลักษณะเผด็จการและคงใช้มาตรการปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรงเป็นการคุกคามต่อสิทธิมนุษยชน
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้จึงไม่ค่อยราบรื่นนัก ดังนั้น เมื่อปักจุงฮีถูกคิมแจคิว (Kim Jae Kue) ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองเกาหลีใต้ ลอบสังหารเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๗๙ จึงมีผู้เชื่อกันว่าองค์การสืบราชการลับอเมริกัน (ซี.ไอ.เอ.) น่าจะมีส่วนรู้เห็นในการกำจัดปักจุงฮี ในฐานะที่ไม่สามารถปกครองเกาหลีใต้ได้ตามความปรารถนาของสหรัฐอเมริกา
๔. เกาหลีใต้ยุคหลังสมัยปักจุงฮี หลังอสัญกรรมของปักจุงฮี สมาชิกสภาแห่งชาติเพื่อเอกภาพ ได้จัดประชุมขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๙๗๙ เลือกชอยคิวฮา (Choi Kyu Hah) รักษาในตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อมาพลตรีชุนดูฮวาน (Chun Doo Hwan) ผู้บัญชาการกองพลรักษาความปลอดภัยทัพบกได้เข้ายึดอำนาจเป็นผลสำเร็จ
เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๙๗๙ นักการเมืองฝ่ายค้านและนักศึกษาได้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับยูซินของปักจุงฮี แต่รัฐบาลทหารกลับแก้ไขปรับปรุงเพียงเล็กน้อยพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ยอมแก้ไขปรับปรุงสาระสำคัญของกฎหมายที่ลิดรอนเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน นักศึกษาประชาชนจึงเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล รัฐบาลเข้าปราบปรามฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่เมืองกวางจูอย่างโหดร้าย และประกาศใช้กฎอัยการศึก การก่อจลาจลแผ่ขยายไปยังเมืองอื่นๆ รวม ๑๖ แห่ง มีผู้เสียชีวิตกว่า ๑๐๐ คน และบาดเจ็บหลายร้อยคน รัฐบาลสั่งปิดมหาวิทยาลัยทุกแห่ง จับกุมนักการเมืองสำคัญนับร้อย รวมทั้งหัวหน้าพรรคสาธารณรัฐประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ส่วนคิมแดจุงผู้นำฝ่ายค้าน และนักการเมืองคนสำคัญซึ่งถูกจับกุมคุมขังอยู่แล้วในเวลานั้นก็ถูกกล่าวหาซ้ำเติมว่ามีส่วนยุยงปลุกปั่นให้มีการต่อต้านรัฐบาลโดยการสนับสนุนจากฝ่ายเกาหลีเหนือ ต่อมารัฐบาลได้ส่งกำลังทหารบุกเข้ายึดเมืองกวางจูได้เป็นผลสำเร็จ
ผลจากการปราบปรามนักศึกษาดังกล่าว ในที่สุดคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลเกาหลีใต้ชุดใหม่ภายใต้การนำของปักจุงฮูน (Pak Chung Hoon) นายกรัฐมนตรีได้เข้าบริหารประเทศแทน และผู้บัญชาการกฎอัยการศึกได้ประกาศยุบสภาโดยไม่มีกำหนด เป็นผลให้พลเอกชุนดูฮวานได้กุมอำนาจการปกครองอย่างเด็ดขาดระหว่างการจลาจลที่เมืองกวางจู ต่อมาเขาพยายามสร้างคะแนนนิยมด้วยการกวาดล้างทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงได้เข้าดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๘๐ มีการรณรงค์ปลดข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และครูทั่วประเทศกว่า ๘,๖๐๐ คน รวมทั้งอดีตรัฐมนตรีและนักการเมืองที่ร่ำรวย ประธานาธิบดีซอยคิวฮา ซึ่งไม่มีอำนาจ จึงลาออกเมื่อเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน พลเอกชุนดูฮวานได้ลาออกจากตำแหน่งทางทหารตามรัฐธรรมนูญและเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนเดียวกันแต่งตั้งตักจูเป็นนายกรัฐมนตรีแทนปักจุงฮูนซึ่งลาออก ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของเกาหลีใต้ที่ชุนดูฮวานสั่งการให้ร่างขึ้นใหม่ใน ค.ศ. ๑๙๘๐ อันจะทำให้ชุนดูฮวานสามารถเป็นประธานาธิบดีต่อไปได้อีกอย่างน้อย ๗ ปี
สำหรับโทษประหารชีวิตของคิมแดจุงผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ศาลสูงของเกาหลีใต้ยอดลดโทษให้เหลือแค่จำคุกตลอดชีวิต โดยแถลงว่าเป็นการตัดสินใจของประธานาธิบดีชุนดูฮวาน โดยอาศัยอำนาจของสภาที่ปรึกษาแห่งชาติเกาหลีใต้ แต่เหตุผลสำคัญแล้วเนื่องมาจากการคัดค้านของประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการเมืองของเกาหลีใต้ ต่อมาหลังจากที่ประธานาธิบดีโรแนล เรแกนเข้ารับตำแหน่ง ชุนดูฮวานได้เดินทางไปเยี่ยมคำนับปรึกษาหารือประธานาธิบดี ซึ่งมาจากพรรครีพับลิกันที่มีนโยบายอนุรักษ์นิยม จึงมิได้ก่อพลังกดดันในประเด็นสิทธิมนุษยชนเท่าใดนัก เพราะต้องการให้เน้นเรื่องความมั่นคงและต่อต้านอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์มากกว่า นับว่าสหรัฐอเมริกายังคงมีอิทธิพลอย่างสำคัญในการสนับสนุนรัฐบาลของเกาหลีใต้ที่มีผู้นำมาจากทหารและไม่สนใจต่อประเด็นประชาธิปไตยของประชาชน
ข. ปัญหาและอนาคตด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของเกาหลีใต้
๑. ปัญหาและอนาคตด้านการเมืองของเกาหลีใต้
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบมีต่อฉบับต่อไปค่ะ
ลบญี่ปุ่นพยายามมองเกาหลีเหนือว่าเป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรง
ตอบลบhttp://www.chanchaivision.com/2013/07/Japan-Security-Realism-130714.html