วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน คศ.1966-1976


ใบความรู้เรื่อง
การปฏิวัติวัฒนธรรมในสาธารณรัฐประชาชนจีน  ค.ศ. ๑๙๖๖-๑๙๗๖  
                การปฏิวัติวัฒนธรรม  (Cultural Revolution)  ในสาธารณรัฐประชาชนจีนนับเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งเหตุการณ์หนึ่ง  นับตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะปกครองสาธารณรัฐประชาชนจีน  ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของประชาชน  โดยมีเหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำใน  ค.ศ. ๑๙๔๙  ก่อนเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมใน  ค.ศ. ๑๙๖๖  สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ใช้ระบอบการปกครองนี้มาเป็นเวลา  ๑๗  ปี  ตลอดระยะเวลาดังกล่าวปรากฏชัดว่าไม่สามารถแก้ปัญหาบางด้านที่เป็นผลจากระบอบการปกครองเดิมในสมัยรัฐบาลก๊กมินตั๋งให้หมดสิ้นไปได้  เช่น  ระบอบข้าราชการอิทธิพล  ระบอบนายทุน  และยิ่งกว่านั้น  ก็คือ  การที่สาธารณรัฐประชาชนจีนและสหภาพโซเวียตมีความขัดแย้งกันมากขึ้น  เมื่อ สตาลินผู้นำของสหภาพโซเวียตถึงแก่กรรมใน  ค.ศ. ๑๙๕๓  ความขัดแย้งนี้มีสาเหตุจากการที่เหมาเจ๋อตงไม่พอใจสหภาพโซเวียตที่มีนโยบายปฏิบัติออกนอกแนวทางอุดมการณ์การปกครองประเทศคอมมิวนิสต์  โดยใช้นโยบายใหม่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนโจมตีว่าเป็น  ลัทธิแก้ (Revisionism)  ซึ่งในทัศนะของสาธารณรัฐประชาชนจีนถือว่าเป็นการส่งเสริมระบอบทุนนิยม  ทั้งนี้  เพราะสหภาพโซเวียตเน้นว่า  วิธีการปฏิวัติโลกให้เป็นคอมมิวนิสต์นั้นไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการรุนแรงเพียงประการเดียวในการปฏิวัติสังคม
                สำหรับเหมาเจ๋อตงมีความยึดมั่นว่า  การปฏิวัติในประเทศต่างๆ  นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  เพราะรัฐบาลนายทุนที่ปกครองประเทศต่างๆ  จะไม่ยอมสละอำนาจให้คอมมิวนิสต์โดยไม่คิดต่อสู้  สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงสนับสนุนการปฏิวัติในประเทศต่างๆ  โดยเฉพาะประเทศที่เพิ่งได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่  ๒  เช่น  ด้วยการส่งอาวุธและส่งเงินไปใช้ขบวนการปฏิวัติในเอเชีย  แอฟริกา  และละตินอเมริกา  เพื่อล้มล้างรัฐบาลซึ่งตนถือว่าเป็นตัวแทนของระบอบนายทุน
(ลัทธิแก้  เป็นถ้อยคำที่ฝ่ายเหมาเจ๋อตงและกลุ่มสี่คนใช้เรียกโจมตีฝ่ายที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจโดยการเปิดรับเทคโนโลยี  และวิธีการของประเทศทุนนิยมตะวันตกมาใช้  กลุ่มของเหมาเจ๋อตงซึ่งเน้นทำการปฏิวัติตลอดกาล  เพื่อให้บรรลุถึงสังคมคอมมิวนิสต์ในอุดมคติ  ต่างพากันกล่าวหาพวกนี้ว่า  เป็นลัทธิแก้หรือเป็นพวกฝ่ายขวาที่เดินตามแนวทางประเทศทุนนิยม  เนื่องจากกลุ่มนี้เน้นปรับเอาหลักการบางอย่างของประเทศทุนนิยมมาใช้  เช่น  การให้มีการค้าขายส่วนตัวบางประการ  ให้มีเงินตอบแทนพิเศษหรือเงินโบนัส  เป็นต้น  สิ่งต่างๆ  เหล่านี้ทำให้กลุ่มเหมาเจ๋อตงเกรงไปว่าจะนำไปสู่การฟื้นตัวของลัทธิทุนนิยมขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีน  จึงทำการโจมตีต่อต้านอย่างขนานใหญ่  เช่น  ทำการปฏิวัติวัฒนธรรม  เป็นต้น  นอกจากนั้น  เหมาเจ๋อตงยังได้โจมตีกลุ่มนี้อีกว่า  เป็นกลุ่มที่ต้องการให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเน้นแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ  มากกว่าการเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนาม  หรือเผชิญหน้ากับสหภาพโซเวียต  ด้วยเหตุนี้จึงต้องการสันติภาพหรือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับประเทศทุนนิยม  เช่นเดียวกับนโยบายของสหภาพโซเวียตในสมัยครุสซอฟ  ที่ถูกเหมาเจ๋อตงโจมตีว่าถือตามลัทธิแก้)
ก.  สาเหตุสำคัญของการปฏิวัติวัฒนธรรม  มีทั้งสาเหตุภายในและภายนอก  ดังนี้
                ๑.  เนื่องจากเหมาเจ๋อตงมีความคิดขัดแย้งต่อนโยบายคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต  โดยเห็นว่าผิดไปจากแนวทางของระบอบคอมมิวนิสต์ที่แท้จริง  และที่สำคัญคือ  นโยบายแบบสหภาพโซเวียตที่มีผลต่อสถานการณ์ทางการเมืองภายในสาธารณรัฐประชาชนจีน  นั่นคือ
                        -  เริ่มมีกลุ่มผู้บริหารระดับสูงบางกลุ่มมีแนวความคิดต้องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแนวทางอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์  กลุ่มผู้นำของสาธารณรัฐประชาชนจีนกลุ่มนี้มี  ประธานาธิบดีหลิวซ่าวฉี (Liu Shao Ch’i)  เป็นผู้นำ  ร่วมด้วยเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์  เติ้งเสี่ยวผิง (Teng Hsiao P’ing)  บุคคลกลุ่มนี้ได้คัดค้านเหมาเจ๋อตงว่าเป็นผู้ที่ยึดมั่นในทฤษฎีและหลักการของตนมากเกินไป  เหมาเจ๋อตงจึงไม่พอใจและถือว่ากลุ่มนี้มีแนวความคิดแบบสหภาพโซเวียต  ซึ่งเป็นลัทธิแก้หรือเดินตามแนวทางทุนนิยม
                        -  เกิดจากการขัดแย้งและการต่อสู้ทางการเมือง 
                        -  จากการที่บรรดาผู้มีความรู้หรือปัญญาชนจำนวนมากของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งมีความตื่นตัวทางการเมือง  ได้ร่วมกันจัดตั้งขบวนการที่ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ปัญญาชนได้แสดงความคิดเห็นโดยกว้างขวาง  เช่น  ขบวนการบัวบานบนแผ่นดินแดง  และขบวนการดอำไม้ทั้งร้อยดอกบานสะพรั่ง  โดยมุ่งให้ความสนใจต่อการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ  ทางด้านอุดมการณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์ในทางสากล 
                ๒.  เหมาเจ๋อตงเกิดความไม่แน่ใจในอนาคตการปฏิวัติของสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วยเกรงว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งชนะในสงครามกลางเมืองจะกลายเป็นฝ่ายแพ้ในการสร้างชาติ  จึงผลักดันให้ประชาชนทำการปฏิวัติจิตสำนึกทางการเมือให้ตระหนักในความสำคัญของการปฏิวัติตลอดกาล  เพื่อต่อต้านระบอบทุนนิยมที่เลวร้าย  โดยยึดมั่นในหลักการและคำสอนของเหมาเจ๋อตงเป็นสำคัญ
                ๓.  เนื่องจากเหมาเจ๋อตงถูกโจมตีในเรื่องความล้มเหลวของขบวนการก้าวกระโดดไกล  จึงหันมาทำการปฏิวัติวัฒนธรรม  เพื่อให้ประชาชนให้การสนับสนุนตนตามเดิมเพราะจากโครงการก้าวกระโดด
ข.  จุดมุ่งหมายของการปฏิวัติวัฒนธรรม
                แนวทางการดำเนินการแบ่งได้เป็น  ๔  ด้าน  คือ
๑.      จะต้องยุติการต่อสู้และความขัดแย้งทางการเมืองในระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
๒.    ป้องกันไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิด  หรืออุดมการณ์ที่เดินตามแนวทางลัทธิแก้ของสหภาพโซเวียต
๓.     ทำให้ปัญญาชนมีความเข้าใจในลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างถูกต้องและรวมพลังกันให้ปฏิบัติไปในแนวทางดังกล่าวร่วมกัน
๔.     จะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนเห็นว่า  การปฏิวัตินั้นเป็นแนวทางสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่างๆ  ได้  เพราะฉะนั้นประชาชนจะต้องมีจิตใจปฏิวัติที่เข้มข้นมีความจริงใจ  และมีศรัทธาต่อพรรคคอมมิวนิสต์เป็นอันดับแรก
ค.  การดำเนินการปฏิวัติวัฒนธรรม
                การปฏิวัติวัฒนธรรมแบ่งออกได้เป็น  ๒  ระยะ  คือ  ในระยะแรกระหว่าง  ค.ศ. ๑๙๖๖ - ๑๙๖๗  และระยะที่  ๒  ระหว่าง  ค.ศ. ๑๙๖๗ - ๑๙๗๑  รวมระยะเวลาการปฏิวัติวัฒนธรรมได้ประมาณถึง  ๖  ปี  นับว่าเป็นการปฏิวัติที่ใช้เวลายาวนานทีเดียว  การปฏิวัติวัฒนธรรมในระยะ  ๒  ปีแรก  (ค.ศ. ๑๙๖๖ - ๑๙๖๗)  เป็นช่วงของการดำเนินการปฏิวัติอย่างรุนแรง  โดยมีขบวนการเรดการ์ด (Red Guards)  เป็นผู้ดำเนินการ  มีทั้งการทำลายทรัพย์สินของรัฐและทำร้ายเยาวชนที่ประพฤติตัวแบบชนชั้นกลาง  แม้แต่ชื่อถนนหนทางที่มีลักษณะเจ้าขุนมูลนายก็มีการเปลี่ยนแปลงใหม่  บรรดาครูบาอาจารย์และข้าราชการระดับต่างๆ  จะต้องอยู่ภายใต้คำวินิจฉัยของขบวนการเรดการ์ดว่า  มีการกระทำอันใดไปในทางรับใช้ชนชั้นนายทุนและชนชั้นกลางหรือไม่  นับว่าในระหว่างนี้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเปลี่ยนแปลงไปหมด  รวมทั้งการดำเนินชีวิตของประชาชน  นอกจากนั้นยังมีการสร้างกฎเกณฑ์สำหรับระบบสังคมใหม่  โดยการปฏิรูปโครงสร้างและองค์ประกอบของสาขา  พรรคทุกท้องถิ่นใหม่อีกด้วย  ส่วนในระยะที่  ๒  (ค.ศ. ๑๙๖๗ -๑๙๗๑)  เป็นการปฏิบัติงานต่อเนื่องกันเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระยะแรกเข้าสู่แนวทางของการปฏิวัติตามจุดมุ่งหมาย  โดยการดำเนินการอยู่ในความรับผิดชอบของกลุ่มสี่คน (Gang of Four)
                  ขั้นตอนของการดำเนินงานมีดังนี้คือ
                ๑.  การกวาดล้างผู้ที่มีความคิดต่อต้าน 
                ๒.  ควบคุมด้านการทหารให้อยู่ในอำนาจ    ยกเลิกการใช้เครื่องแบบและเครื่องหมาย  เป็นต้น  เพื่อให้เกิดความเสมอภาค  และเน้นการสอนให้ทุกกองทัพสนใจการศึกษาความคิดของเหมาเจ๋อตง  เพื่อให้มีจิตใจที่ปฏิวัติ
                ๓.  เหมาเจ๋อตงได้จัดตั้งขบวนการเรดการ์ดขึ้นใน  ค.ศ. ๑๙๖๖  ขบวนการนี้ประกอบด้วยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาและนิสิตนักศึกษา  โดยมีอุดมการณ์เพื่อรักษาแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ให้คงอยู่ตลอดไป  เหมาเจ๋อตงเน้นสั่งสอนให้คนเหล่านี้มีความคิดในการปฏิวัติอยู่ตลอดเวลา  พร้อมทั้งให้การสนับสนุนพวกเยาวชนเรดการ์ดโจมตีกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคและอุดมการณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์  ภายในเวลาเพียง  ๑  ปี  ขบวนการนี้มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง  ๑๐  ล้านคน  คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้รับรองขบวนการนี้ให้เข้ามีส่วนร่วมรับผิดชอบทางการเมืองของประเทศ
                ๔.  การจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อดำเนินการปฏิวัติวัฒนธรรม  คณะกรรมการนี้มีทั้งหมด  ๑๗  คน    ผู้ที่มีบทบาทมากคือ  เฉินป๋อต๋า (Ch’en Po Ta)  รองลงมาคือ  กลุ่มสี่คน  ซึ่ง  ๑  ใน  ๔  คนนี้มีนางเจียงชิง (Chiang Ch’ing)  ภรรยาของเหมาเจ๋อตงรวมอยู่ด้วย  ในกลุ่มสี่คนนี้  จางชุนเฉียว (Chang Chun Chiao)  มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการแผนกโฆษณาของคณะกรรมการเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. ๑๙๖๕  เจียงชิงเป็นรองประธานคนที่  ๓  ของสภาประชาชนแห่งชาติใน  ค.ศ. ๑๙๖๔ 
เหยาเหวิน หยวน
(Yao Wen Yuan)  ทำงานเขียนเกี่ยวกับอุดมการณ์และวัฒนธรรมแต่ไม่มีตำแหน่งบริหารใดๆ 
หวางหงเหวิน
(Wang Hong Wen)  เป็นผู้นำคนสำคัญในการชักชวนเรียกร้องให้กรรมการเข้ายึดโรงงาน  การขึ้นมามีอำนาจของกลุ่มสี่คนนั้นเป็นผลจากการที่เหมาเจ๋อตงต้องการคนที่มีแนวความคิดสนับสนุนตนจริงๆ  ทางด้านอุดมการณ์และวัฒนธรรมเพื่อเผยแพร่ความคิด 
(ขบวนการเรดการ์ด  เป็นขบวนการที่เริ่มมีขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีนใน  ค.ศ. ๑๙๖๖  และสลายตัวไปใน  ค.ศ. ๑๙๖๙  ขบวนการนี้ประกอบด้วย  นักเรียนระดับมัธยมศึกษาและนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ  ที่มีอุดมการณ์เพื่อรักษาแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์  โดยได้ร่วมกันดำเนินการต่อต้านการฟื้นฟูของลัทธิทุนนิยม  ด้วยการปฏิวัติวัฒนธรรม  มาตรการที่ใช้  คือ  การปลุกระดมให้มีการปฏิวัติทั่วประเทศ  เพื่อมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยความคิดและวัฒนธรรมใหม่  ทำให้ขบวนการนี้มีฐานะเป็นองค์กรปฏิวัติ  โดยมีสมาชิกจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเข้าร่วมด้วย  ปรากฏว่าขบวนการนี้ได้แผ่ขยายจากโรงเรียนต่างๆ  ไปยังสังคม  และกระจายไปทั่วประเทศจนกลายเป็นพลังสำคัญในการปฏิวัติวัฒนธรรม  การที่ขบวนการนี้ได้เข้ามีส่วนร่วมในการปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนสิงหาคม  ค.ศ. ๑๙๖๖  ทำให้การปฏิวัติมีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก)
 ผลของการปฏิวัติวัฒนธรรม
  มีผลเกิดขึ้นแบ่งได้กว้างๆ  เป็น  ๒  ด้าน  คือ
                ๑.   ผลต่อสถานการณ์ภายในประเทศ
                ๒.  ผลต่อสถานการณ์ภายนอกประเทศ
                ๑.   ผลต่อสถานการณ์ภายในประเทศ   การปฏิวัติวัฒนธรรมที่มีจุดเริ่มต้นจากความขัดแย้งของกลุ่มผู้นำ  ได้ก่อให้เกิดการโจมตีและกำจัดผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ  ตลอดจนการทำลายความสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์  ซึ่งเป็นศูนย์กลางรวมอำนาจทางการเมืองของสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างกว้างขวาง  ยิ่งกว่านั้น  ยังได้ก่อให้เกิดขบวนการรวมตัวของประชาชนที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทุกด้านในประเทศ  เพื่อให้สาธารณรัฐประชาชนจีนมีระบบสังคมใหม่ที่เป็นระบอบสังคมนิยมที่ถูกต้อง  ซึ่งมีเหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง
พระราชวังต้องห้าม กู้กง
                ๒.  ผลต่อสถานการณ์ภายนอกประเทศ       ในระดับความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจในกรณีของสหภาพโซเวียต  สาธารณรัฐประชาชนจีน  มีนโยบายต่อต้านสหภาพโซเวียตอย่างเด่นชัดมาก  ในสมัยการปฏิวัติวัฒนธรรมพวกเยาวชนเรดการ์ดได้โจมตีสหภาพโซเวียตว่าเป็นพวกลัทธิแก้  และเป็นนักสังคมนิยมที่ขยายอำนาจโดยมุ่งขยายดินแดน  เช่น  การที่สหภาพโซเวียตเข้ายึดครองเชโกสโลวะเกีย  ในด้านความสัมพันธ์กับประเทศด้อยพัฒนานั้น  สาธารณรัฐประชาชนจีนในระยะการปฏิวัติวัฒนธรรม  มีนโยบายเด่นชัดที่สนับสนุนขบวนการต่อสู้ด้วยอาวุธในประเทศด้อยพัฒนา  ตามความคิดเกี่ยวกับการปฏิวัติของเหมาเจ๋อตง  ที่ต้องใช้วิธีการรุนแรงในการเปลี่ยนแปลงสังคม  การต่อสู้ในแบบสงครามกองโจรจึงเกิดขึ้นในบางประเทศ  เช่น  การสนับสนุนเวียดนามเหนือทำสงครามกองโจรในเวียดนามใต้  ใน  ค.ศ. ๑๙๖๘  และการสนับสนุนให้กลุ่มคนผู้นิยมคอมมิวนิสต์จีนในพม่าล้มรัฐบาลนายพลเนวินเพื่อให้พรรคอมมิวนิสต์พม่าขึ้นมีอำนาจแทน  การสนับสนุนกองกำลังเขมรแดงในกัมพูชาซึ่งมีพอลพตเป็นผู้นำล้มรัฐบาลของเจ้านโรดมสีหนุและในกรณีประเทศไทย  สาธารณรัฐประชาชนจีนก็ให้การสนับสนุนแก่ขบวนการปฏิวัติในประเทศไทย  ที่เรียกตัวเองว่า  พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  เป็นต้น
....................................................................................................................................................................
คำถามท้ายบท เรื่อง การปฏิวัติวัฒนธรรม  (Cultural Revolution)  ในสาธารณรัฐประชาชนจีน
1. ลัทธิแก้  หมายถึง.........................................
2.สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงสนับสนุนการปฏิวัติในประเทศแถบใดบ้างโดยวิธีการใด
3.ปัญญาชนจำนวนมากของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งมีความตื่นตัวทางการเมือง  ได้ร่วมกันจัดตั้งขบวนการที่ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ปัญญาชนได้แสดงความคิดเห็นโดยกว้างขวาได้แก่ขบวนการใดบ้าง มีจุดมุ่งหมายอย่างไร
4. จุดมุ่งหมายในการปฏิวัติวัฒนธรรมได้แก่อะไรบ้าง
5. จีนใช้เวลาในการปฏิวัติวัฒนธรรม กี่ปี จากปี คศ.ใดถึงปี คศ.ใด
6.กลุ่มสี่คน ประกอบด้วยใครบ้าง แต่ละคนมีตำแหน่งใด  ตั้งขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ใด
7.ขบวนการเรดการ์ด  หมายถึงคนกลุ่มใด มีวิธีการทำงานอย่างไร มีจุดมุ่งหมายใด
8.ผลของการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนภายในประเทศเป็นอย่างไรอธิบาย
9.ผลของการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนภายนอกประเทศเป็นอย่างไรอธิบาย

ประเทศจีนหลังสงครามกลางเมือง


ใบความรู้ เรื่อง ประเทศจีนหลังสงครามกลางเมือง
 ประเทศจีนหลังสงครามกลางเมือง
                สภาพการณ์ของจีนหลังสงครามกลางเมือง  มีแนวทางการปรับปรุงประเทศใน  ๒  ด้าน  คือ
๑.       ระบอบการปกครองภายในของจีน
๒.     การกำหนดนโยบายต่างประเทศ
                ระบอบการปกครองภายในของจีน  ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์  ซึ่งพยายามเสริมสร้างความมั่นคงทางการเมือง  ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ  และความเป็นระเบียบเรียบร้อยทางสังคม  พิจารณาตามลำดับได้  ดังนี้
                ๑.  ด้านความมั่นคงทางการเมือง  สาธารณรัฐประชาชนจีนได้จัดรูปแบบการบริหารประเทศเสียใหม่ซึ่งระบอบการปกครองใหม่นี้  เรียกว่า  ระบอบเผด็จการประชาธิปไตยของประชาชน (People’s Democratic Dictatorship)  หลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ  ก็คือ
                        (๑)  อำนาจรัฐเป็นของประชาชน  ประชาชนใช้อำนาจนี้โดยผ่านสภาประชาชนแห่งชาติและสภาประชาชนในระดับท้องถิ่น
                        (๒)  ประชาชนทุกเชื้อชาติในประเทศ  (ส่วนใหญ่เป็นชาวฮั่นหรือชาวจีนแท้และชนกลุ่มน้อยอีกประมาร  ๕๕  กลุ่ม  เช่น  มองโกเลียน  ทิเบต  แมนจู  เย้า  อุยกุย  เป็นต้น)  มีความเสมอภาค  และมีเสรีภาพในการใช้ภาษาพูด  ภาษาเขียนของตนเอง
                        (๓)  ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา  หรือไม่นับถือศาสนา
ตามรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐประชาชนจีนจัดแบ่งอำนาจการปกครองเป็น  ๔  ด้าน  คือ
                        (๑)  สภารัฐบาลกลางของประชาชน  ประกอบด้วยฝ่ายนิติบัญญัติ  ฝ่ายบริหาร  และฝ่ายตุลาการ
                        (๒)  สภาบริหารรัฐบาล  ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการพรรคเป็นคณะที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ
                        (๓)  สภาทหารปฏิวัติมีเหมาเจ๋อตงเป็นประธาน  และมีรองประธาน  ๗  คน  ทำหน้าที่ควบคุมการทหารทั้งหมด
                        (๔)  หน่วยงานที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย  ได้แก่  ศาลสูงสุด  และสำนักงานอัยการ (Procurator General’s Office)
                อย่างไรก็ตาม  ถึงแม้สาธารณรัฐประชาชนจีนจะมีรัฐสภาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ  แต่ก็ไม่นิยมการออกฎหมาย  ส่วนใหญ่ใช้วิธีการกำหนดออกมาเป็นนโยบายแล้วมีคำสั่งควบคู่กันไป  เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ  จะต้องสอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาตลอดเวลา  ถ้ามีการออกเป็นกฎหมายแล้วจะทำให้เปลี่ยนแปลงยาก  นอกจากนี้  ชาวจีนเองไม่ชอบการใช้วิธีการออกกฎหมายควบคุม  แต่จะใช้วิธีการสอนให้คนรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกเหมือนกับคำสั่งสอนของขงจื๊อ  จึงไม่นิยมบังคับให้คนทำอะไรเพราะความกลัวกฎหมาย  เมื่อเปลี่ยนเป็นระบอบคอมมิวนิสต์  ความคิดนี้ก็ยังคงมีอยู่ทำให้กฎหมายที่ออกมาใช้ในสาธารณรัฐประชาชนจีนในยุคนั้นมีน้อยฉบับ  และกฎหมายที่ออกมาก็มีจุดประสงค์เพื่อจะชักชวนให้มีการกระทำบางประการเกิดขึ้นในรูปของการรณรงค์ของมวลชน
                ๒.  ด้านการปรับปรุงเศรษฐกิจ  มีการดำเนินการที่สำคัญ  คือ
                        ๒.๑  การปฏิรูปที่ดิน   รัฐบาลออกกฎหมายปฏิรูปที่ดิน (Land Reform Law)  เมื่อวันที่  ๒๘  มิถุนายน  ค.ศ. ๑๙๕๐  โดยนำที่ดินของเจ้าของที่ดินรายใหญ่ๆ  ไปแจกจ่ายให้แก่ชาวนาที่ไม่มีที่ดินทำกินประมาณ  ๓๐๐  ล้านคน  ด้วยการจัดแบ่งที่ดินให้ประชาชนเท่าๆ  กันครอบครอง  ๓ใน 4    ไร่  เพื่อใช้ในการเกษตร    แต่ต่อมารัฐบาลเห็นว่าการแบ่งที่ดินเป็นแปลงเล็กๆ  นั้นไม่สามารถจะปรับปรุงให้ทันสมัยโดยใช้เครื่องจักรทำนาได้จึงให้มีการรวมนาเข้าด้วยกันเป็นผืนใหญ่  เรียกว่า  การทำนารวม (Collective Farm)  มีรูปแบบดังนี้  คือ
                        -  จัดตั้งองค์การรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือกันและกัน
                        -  ร่วมมือในระหว่างผู้ผลิต  ด้วยการนำที่ดิน  เครื่องมือในการผลิต  และแรงงานมารวมกัน  โดยถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของส่วนกลางร่วมกัน
                        -  ผลประโยชน์ที่ได้จากการลงทุนก็จะตกอยู่แก่ส่วนรวม  ไม่ใช่ถือว่าเป็นผลประโยชน์ของหุ้นส่วนใดๆ
                        ผลก็คือ  ชาวนาจำนวนมากได้เข้าร่วมในระบบทำนาแบบนี้  ทำให้ผลิตผลการเกษตรของสาธารณรัฐประชาชนชนจีนเพิ่มขึ้น  ปรากฏว่าผลิตผลทางการเกษตรเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ  ๔.๕  ต่อปี  ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนสามารถบรรเทาความอดอยากอันเนื่องมาจากประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้
                        ๒.๒  การใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ  โดยกำหนดเป็นแผนพัฒนา  ๕  ปี  ๓  ระยะ  เริ่มตั้งแต่  ค.ศ. ๑๙๕๓  และจะสิ้นสุดตามโครงการใน  ค.ศ. ๑๙๖๗  ใน  ค.ศ. ๑๙๕๓  รัฐบาลจึงประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ  ๕  ปีแรก  (ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๗)  แผนพัฒนาฉบับแรกนี้ไม่ได้กำหนดรายละเอียดตามโครงการชัดเจน  เพราะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตอย่างมาก  เนื่องจากสาธารณรัฐประชาชนจีนขาดแคลนเงินทุนและช่างเทคนิค  ตามแผนการระยะแรก  สหภาพโซเวียตได้ให้ความช่วยเหลือหลายอย่างทางด้าน  ผลจากการดำเนินการตามแผนพัฒนา  ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๗  ปรากฏว่าผลิตผลทางด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ  ๑๘  ต่อปี  และผลิตผลทางการเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ  ๔.๕  แต่การเพิ่มของผลผลิตก็ไม่สมดุลกับอัตราการเพิ่มของพลเมืองที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว  คือ  ระหว่าง  ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๗  เพิ่มขึ้นถึงปีละ  ๑๒  ล้านคน  ทำให้ผลผลิตส่วนใหญ่ต้องนำไปใช้ในการเลี้ยงพลเมืองจีน
                        ๒.๓  การก้าวกระโดดไกล (Great Leap Forward  ค.ศ. ๑๙๕๗-๑๙๖๐)    การเร่งการผลิตครั้งใหญ่ด้วยวิธีการก้าวกระโดดไกล  ก็คือ  การเรียกร้องให้ประชาชนได้มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเพื่อจะได้สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง  ตามโครงการนี้มีขั้นตอน  คือ
                        (๑)  การระดมมวลชน  (Mass Mobilization)  ประกอบด้วย
                                -  การระดมแรงงานในชนบทให้มากที่สุด  เพื่อทำการสร้างอุปกรณ์และปัจจัยพื้นฐานทางการเกษตร  ได้แก่  การสร้างการชลประทาน  การป้องกันน้ำท่วม  และการปรับปรุงที่ดิน
                                -  จะต้องเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในที่ดินแต่ละแห่งให้มากขึ้น  โดยใช้แรงงานคนเป็นหลัก
                                -  หาทางขยายอุตสาหกรรมเล็กๆ  หรืออุตสาหกรรมพื้นบ้านในท้องถิ่นโดยใช้วัสดุและเครื่องมือง่ายๆ  เพื่อผลิตสินค้าสำหรับการบริโภคและผลิตเครื่องมือสำหรับการเกษตร  ส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และประเภทใหม่ๆ  มุ่งผลิตสินค้าส่งไปขายต่างประเทศเพื่อนำเงินตราเข้าประเทศมาใช้ในการเกษตร
                        การเร่งระดมการผลิตได้กระทำทั้งกลางวันและกลางคืน  ชาวจีนนับล้านๆ  คนต่างทำงานในไร่นาตลอดกลางวันและทำงานโรงงานเวลากลางคืน  จึงนับว่าชาวจีนต้องใช้แรงงานอย่างหนักในช่วงระยะนี้
                        (๒)  การจัดตั้งระบบคอมมูน  (Commune)  โครงการคอมมูนเป็นอีกส่วนหนึ่งของโครงการก้าวกระโดดไกล  โดยมีจุดประสงค์  คือ
                                -  เพื่อจัดระบบการปกครองพื้นฐานให้มีความมั่นคงและมีประสิทธิภาพเพราะถือว่า  เมื่อพื้นฐานหรือรากฐานแข็งแรงแล้วโครงสร้างทั้งหมดก็จะอยู่ได้  คอมมูนจึงมีลักษณะเหมือนรัฐบาลบริหารรับผิดชอบงานท้องถิ่น  ประกอบด้วย  งานทางด้านทหาร  ความปลอดภัย  การค้า  การคลัง  การเก็บภาษี  การบัญชี  สถิติ  และการวางแผน  ทุกๆ  คนในคอมมูนจะทำงาน  ๒๔  วันใน  ๑  เดือน  ทั้งชายและหญิง  มีศูนย์กลางของคอมมูนรับเลี้ยงดูแลเด็ก  การบริหารในคอมมูนจึงมีลักษณะเป็นการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด  จำนวนครอบครัวในคอมมูนหนึ่งมีอยู่ประมาณ  ๔,๐๐๐ - ๕,๐๐๐  พันครอบครัว  รวมประชากร  ๒๐,๐๐๐  คน
                                -  เพื่อให้มีการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจ  จึงให้มีการผลิตขั้นพื้นฐานหน่วยละ  ๔๐  ครอบครัว  โดยที่แต่ละหน่วยการผลิตมีอิสระในการตัดสินใจเต็มที่  นอกจากนี้ยังยินยอมให้ชาวไร่ชาวนามีที่ดินขนาดเล็กเป็นของตนเอง  เพื่อผ่อนคลายความกดดันทางจิตใจของประชาชนที่ไม่มีสิทธิจะทำการผลิตเล็กๆ  น้อยๆ  ของตนเองมาก่อนในระยะก่อนหน้านี้
                        (๓)  การพัฒนาเศรษฐกิจการค้ากับต่างประเทศ  หลังจากใช้นโยบายก้าวกระโดดไกล  สาธารณรัฐประชาชนจีนเริ่มติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น  และยังสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศด้อยพัฒนาอีกด้วย  จากการที่สินค้าของสาธารณรัฐประชาชนจีนส่วนมากราคาถูก  เนื่องจากค่าแรงต่ำเพราะกิจการทุกอย่างรัฐเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด  จึงทำให้สามารถครองตลาดในฮ่องกงและในเอเชียอาคเนย์ได้  อย่างไรก็ตาม  นโยบายก้าวกระโดดไกลทางเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนก็มีข้อบกพร่องที่นำไปสู่ปัญหาสำคัญ  นั่นก็คือ  การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนอยู่ในขอบเขตและปริมาณที่จำกัด  ทั้งนี้เพราะมุ่งให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม  รวมทั้งการใช้แรงงานคน  แต่ละทิ้งการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักและการวางแผนระยะยาวจากส่วนกลางอย่างจริงจัง
                ๓.  ด้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคม  การสร้างจิตสำนึกแบบสังคมนิยมให้แก่ประชาชน  โดยกำหนดแนวทางดังนี้
                        (ก)  มุ่งให้ประชาชยอมรับและเข้าใจในระบอบการปกครอง  แนวทางทางการเมืองที่ใช้อยู่  โดยให้รู้ถึงขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์
                        (ข)  สร้างจิตสำนึกของประชาชนให้ตระหนักถึงความเหนือกว่าของระบอบสังคมนิยม  และความเลวร้ายของระบอบทุนนิยม
                        (ค)  จัดระบอบการศึกษาให้กระจายออกไปอย่างทั่วถึงยังบริเวณโรงงาน  เหมืองแร่  และไร่นา  โดยเป็นการให้การศึกษาหลังชั่วโมงการทำงาน  เพื่อขจัดความไม่รู้หนังสือ  และเสริมความรู้พื้นฐานสำหรับการผลิต  อันจะทำให้ประชาชนมีโอกาสเรียนรู้มากขึ้นและปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น
                        (ง)  เปิดโอกาสให้กับลูกหลานกรรมกรชาวนา  ซึ่งมีจำนวนมากกว่าร้อยละ  ๕๐  ของนักศึกษาทั้งหมดได้เข้าเรียนหนังสือโดยรัฐบาลเป็นฝ่ายสนับสนุน  ในขณะเดียวกัน  นักศึกษาปัญญาชนก็ต้องได้รับการฝึกให้ใช้แรงงานที่นับเป็นขั้นตอนสำคัญของการสร้างสังคมในระบอบใหม่
                การกำหนดนโยบายต่างประเทศ  ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีน  มีสาเหตุหลายประการที่เป็นปัจจัยในการกำหนดแนวทางความสัมพันธ์กับต่างประเทศ  คือ
                        ก.  ประสบการณ์ในอดีตที่ถูกต่างชาติเอารัดเอาเปรียบ  ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนมีความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ    ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนต้องดำเนินนโยบายที่จะต้องเลือกประเทศที่มีแนวโน้มจะเป็นมิตรกับตนอย่างแท้จริง
                        ข.  ความจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูประเทศหลังสงครามกลางเมือง  ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนต้องการมีความสัมพันธ์กับมิตรประเทศที่อาจให้ความช่วยเหลือตนได้  ใน  ค.ศ. ๑๙๔๙  สาธารณรัฐประชาชนจีนก็ต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากธรรมชาติอย่างรุนแรง  ได้แก่  น้ำท่วม  ความแห้งแล้ง  ไต้ฝุ่น  พายุลูกเห็บ  แมลงศัตรูพืช  และโรคระบาดในสัตว์ประเภทโค  กระบือ  ซึ่งเกิดขึ้นติดต่อกันมาตลอดฤดูใบไม้ผลิ  ฤดูร้อน  และฤดูใบไม้ร่วง  ที่ประมาณความเสียหายได้ว่าประชาชนจีนจำนวน  ๔๐  ล้านคน  ตกอยู่ในภาวะความเดือดร้อนในระดับต่างๆ  กัน  และภัยพิบัติเหล่านี้ทำให้จำนวนผลิตผลประเภทอาหารของชาติต้องลดลงอย่างมาก  สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงต้องหามิตรประเทศอันอาจเป็นแหล่งที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้
                        ค.  สาธารณรัฐประชาชนจีนดำเนินนโยบายต่างประเทศในลักษณะใกล้ชิดสนิทสนมกับประเทศต่างๆ  ที่ให้การรับรองรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของตน  ผลจากการที่นานาชาติรับรองรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์  เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์สามารถยึดแผ่นดินใหญ่ได้ทั้งประเทศ  รัฐบาลสหภาพโซเวียตจึงประกาศรับรองรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ทันที  และกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ  ก็ประกาศรับรองเช่นเดียวกัน     ส่วนประเทศอื่นที่ได้ให้การรับรองก็มี  อินเดีย  และพม่า  รับรองรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ปลาย  ค.ศ. ๑๙๔๙  ส่วนชาติอื่นที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อมาคืออัฟกานิสถาน  ศรีลังกา  เดนมาร์ก  ฟินแลนด์  อิสราเอล  อินโดนีเซีย  เนเธอร์แลนด์  นอรเว  ปากีสถาน  สวีเดน  และสวิตเซอร์แลนด์  ส่วนมหาอำนาจตะวันตกประเทศแรกที่รับรองจีนคอมมิวนิสต์  คือ  อังกฤษ  เพราะอังกฤษต้องการที่จะคุ้มครองผลประโยชน์ของตนทีมีอยู่มากมายในสาธารณรัฐประชาชนจีน  รวมทั้งฮ่องกงซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษด้วย  ตลอดจนต้องการความสะดวกในการค้าขายกับจีนคอมมิวนิสต์ 
เด็กๆในคอมมูนยืนคอยต้อนรับประธานเหมา
                        ง.  สาธารณรัฐประชาชนจีนมีนโยบายจะผนวกเกาะไต้หวัน  ซึ่งพรรคก๊กมินตั่งได้หลบหนีถอยร่นไปตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐจีนอยู่ที่นั่น  เมื่อสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงใน  ค.ศ. ๑๙๔๙  แล้ว  พรรคก๊กมินตั่งยังได้ทิ้งกำลังทหารของตนไว้ทางตะวันตกของจีนแผ่นดินใหญ่  คือ  ซินเกียงและทางตอนใต้คือเกาะไฮนาน  (ไหหลำ)  แต่กำลังฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์ได้โจมตีเกาะไฮนานและยึดได้สำเร็จในเดือนเมษายน  ค.ศ. ๑๙๕๐  หลังจากการพ่ายแพ้ในครั้งนี้แล้ว  เจียงไคเช็คได้ประกาศว่าจะส่งกองทัพบุกขึ้นแผ่นดินใหญ่ภายใน  ๒  ปี  แต่เจียงไคเช็คไม่สามารถทำได้  ในขณะเดียวกัน  จีนคอมมิวนิสต์ก็มีนโยบายที่จะใช้กำลังโจมตีเกาะไต้หวันเพื่อผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน  แต่มิอาจทำตามนโยบายนี้ได้  เพราะมีกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาให้ความคุ้มกันอยู่
คำอธิบายศัพท์
                คอมมูน  คือ  องค์การเอนกประสงค์ซึ่งรวมหน่วยการเมือง  การปกครอง  และการบริหารทั้งหมดเข้าด้วยกัน  ทำหน้าที่ดูแลการดำเนินการทุกอย่างเพื่อการอยู่ร่วมกันของประชาชนในชุมชน  ทั้งด้านเศรษฐกิจ  การเมือง  การทหาร  การศึกษา  วัฒนธรรม  และสาธารณสุข  และยังมีธนาคาร  โรงเรียน  โรงพยาบาล  ร้านค้า  ศาลาประชาชน  และหน่วยฝึกทหารอีกด้วย  นอกจากนั้น  คอมมูนยังมีหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างรัฐบาลกับสมาชิกของคอมมูนในด้านประสานนโยบาย  เผยแพร่และให้การศึกษาลัทธิการเมือง  ดูแลความสงบสุขของสมาชิก  ฝึกหัดการทหาร  และเก็บภาษีส่งให้รัฐบาล  เป้าหมายสำคัญก็เพื่อเน้นพัฒนาการเกษตร  ในอันที่จะขจัดความเหลื่อมล้ำระหว่างฐานะของเกษตรกรในชนบทกับกรรมการและมวลชนในเมือง
................................................................................................................................................................................................................
คำถามท้ายบท เรื่อง ประเทศจีนหลังสงครามกลางเมือง
1. หลังสงครามกลางเมือง ประเทศจีนมีการจัดการปกครองภายในประเทศอย่างไร อธิบาย
2. หลังสงครามกลางเมือง ประเทศจีนมีการกำหนดนโยบายต่างประเทศ อย่างไร อธิบาย

สงครามกลางเมืองในประเทศจีน


                                      ใบความรู้เรื่อง  สงครามกลางเมืองในประเทศจีน
สงครามกลางเมือง  ค.ศ. ๑๙๔๕ - ๑๙๔๙
                ตอนปลาย  ค.ศ. ๑๙๔๕  เมื่อสหรัฐอเมริกาพยายามเข้าไกล่เกลี่ยไม่ให้เกิดสงครามกลางเมืองไม่เป็นผลสำเร็จ  ต่อมาใน  ค.ศ. ๑๙๔๖  สงครามกลางเมืองเต็มรูปจึงเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายก๊กมินตั่งกับฝ่ายคอมมิวนิสต์  เป็นที่ปรากฏชัดว่า  ฐานะทางการเมืองระหว่างประเทศของรัฐบาลเจียงไคเช็คได้เปรียบกว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์  เนื่องจากมีที่นั่งในองค์การสหประชาชาติในฐานะเป็นสมาชิกประจำคณะมนตรีความมั่นคง  ซึ่งมีสิทธิลงคะแนนเสียงยับยั้ง  แต่ในการสงครามภายในโดยส่วนรวมแล้วก๊กมินตั่งตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ  ดังมีรายละเอียดของการต่อสู้ดังนี้
                ระยะแรก  การมีชัยของฝ่ายก๊กมินตั่ง  เนื่องจากฝ่ายก๊กมินตั่งมีกำลังเข้มแข็งกว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์มาก  คือ  มีจำนวนทหารทั้งสิ้นประมาณ  ๓  ล้านคน  ในขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์มีเพียง  ๑  ล้านคน  และยังได้เปรียบที่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาอีกมาก  ไม่ว่าอาวุธยุทโธปกรณ์หรือการฝึกทหาร  ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือตั้งแต่  ค.ศ. ๑๙๓๔  ถึงต้น  ค.ศ. ๑๙๔๘  เป็นจำนวนทั้งสิ้นกว่า  ๒,๐๐๐  ล้าน
                ระยะที่  ๒  การต่อต้านของฝ่ายคอมมิวนิสต์  ฝ่ายคอมมิวนิสต์พยายามกระจายกำลังออกไปทั่วภาคเหนือของจีนและแมนจูเรีย  สหภาพโซเวียตยังได้ให้อาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ  แก่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เป็นจำนวนมาก  โดยฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้าควบคุมทางรถไฟจากภาคเหนือของจีนไปยังแมนจูเรีย  รวมทั้งทางรถไฟสายจี้หนาน - ซิงเตา (Tsinan-Tsingtao)  ในชานตุง  ทำให้กองทัพฝ่ายก๊กมินตั่งไม่สามารถส่งกำลังทางรถไฟได้
                ระยะที่  ๓  การต่อสู้ที่สำคัญของสงครามกลางเมือง  ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ทุ่มกำลังบุกเข้ายึดครองเมืองต่างๆ  ตั้งแต่เดือนเมษายน  ค.ศ. ๑๙๔๘  ฝ่ายก๊กมินตั๋งสูญเสียกำลังทหารทั้งบาดเจ็บล้มตายและสูญหายไปกว่า  ๓๐,๐๐๐  คน  อุปกรณ์ต่างๆ  ที่สหรัฐอเมริกาช่วยเหลือสูญเสียไปกว่าร้อยละ  ๘๕  ความพ่ายแพ้ของฝ่ายก๊กมินตั่งตามเมืองใหญ่ๆ  ทำให้เศรษฐกิจถูกทำลายและเกิดความแตกแยกทางการเมืองขึ้น
ชาวแมนจู
                ระยะที่  ๔  ความพ่ายแพ้ของฝ่ายก๊กมินตั่ง  เมื่อรัฐบาลฝ่ายก๊กมินตั่งได้ถอยร่นลงมาทางใต้  ต่อมาตอนต้น  ค.ศ. ๑๙๔๙  เจียงไคเช็คพิจารณาเห็นว่าสถานการณ์ในจีนสิ้นหวัง  จึงได้เรียกร้องให้คอมมิวนิสต์เปิดการเจรจากัน  และขอให้สหรัฐอเมริกา  อังกฤษ  ฝรั่งเศส  และสหภาพโซเวียตบีบบังคับให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์เปิดการเจรจากับฝ่ายก๊กมินตั่งซึ่งฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้เรียกร้องให้กองทัพฝ่ายก๊กมินตั่งยอมแพ้โดยปราศจากเงื่อนไข  และให้ส่งเจียงไคเช็คขึ้นพิจารณาโทษในฐานะอาชญากรสงคราม  เจียงไคเช็คจึงได้ลาออกจากตำแหน่งในวันที่  ๒๑  มกราคม  ค.ศ. ๑๙๔๙  และรองประธานาธิบดีหลีจุงเหลิน (Li Tsung Jen)  ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน  จนกระทั่งในที่สุด  เจียงไคเช็คและพวกได้อพยพไปตั้งรัฐบาลใหม่ที่เกาะฟอร์โมซาหรือไต้หวันในวันที่  ๘  ธันวาคม  ค.ศ. ๑๙๔๙  และต่อมาก็ได้ประกาศให้ไต้หวันเป็นประเทศสาธารณรัฐจีน               ฝ่ายคอมมิวนิสต์จึงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดและครอบครองแผ่นดินใหญ่เป็นผลสำเร็จ  หลังจากได้ต่อสู้มาเป็นเวลานานเกือบ  ๒๐  ปี  และได้มีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น  ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์  เมื่อวันที่  ๑  ตุลาคม  ค.ศ. ๑๙๔๙  ตั้งชื่อประเทศว่า  สาธารณรัฐประชาชนจีน (The People’s Republic of China)  มีเหมาเจ๋อตง  เป็นผู้นำ  มีกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ให้การรับรอง  ๒๕  ประเทศ  ส่วนสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับรองรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์  และพร้อมกับขัดขวางมิให้จีนคอมมิวนิสต์เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ