ใบความรู้ เรื่อง ประเทศจีนหลังสงครามกลางเมือง
ประเทศจีนหลังสงครามกลางเมือง
สภาพการณ์ของจีนหลังสงครามกลางเมือง มีแนวทางการปรับปรุงประเทศใน ๒ ด้าน คือ
๑. ระบอบการปกครองภายในของจีน
๒. การกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ระบอบการปกครองภายในของจีน ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งพยายามเสริมสร้างความมั่นคงทางการเมือง ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ และความเป็นระเบียบเรียบร้อยทางสังคม พิจารณาตามลำดับได้ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคงทางการเมือง สาธารณรัฐประชาชนจีนได้จัดรูปแบบการบริหารประเทศเสียใหม่ซึ่งระบอบการปกครองใหม่นี้ เรียกว่า ระบอบเผด็จการประชาธิปไตยของประชาชน (People’s Democratic Dictatorship) หลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ ก็คือ
๑. ด้านความมั่นคงทางการเมือง สาธารณรัฐประชาชนจีนได้จัดรูปแบบการบริหารประเทศเสียใหม่ซึ่งระบอบการปกครองใหม่นี้ เรียกว่า ระบอบเผด็จการประชาธิปไตยของประชาชน (People’s Democratic Dictatorship) หลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ ก็คือ
(๑) อำนาจรัฐเป็นของประชาชน ประชาชนใช้อำนาจนี้โดยผ่านสภาประชาชนแห่งชาติและสภาประชาชนในระดับท้องถิ่น
(๒) ประชาชนทุกเชื้อชาติในประเทศ (ส่วนใหญ่เป็นชาวฮั่นหรือชาวจีนแท้และชนกลุ่มน้อยอีกประมาร ๕๕ กลุ่ม เช่น มองโกเลียน ทิเบต แมนจู เย้า อุยกุย เป็นต้น) มีความเสมอภาค และมีเสรีภาพในการใช้ภาษาพูด ภาษาเขียนของตนเอง
(๓) ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา หรือไม่นับถือศาสนา
ตามรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐประชาชนจีนจัดแบ่งอำนาจการปกครองเป็น ๔ ด้าน คือ
ตามรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐประชาชนจีนจัดแบ่งอำนาจการปกครองเป็น ๔ ด้าน คือ
(๑) สภารัฐบาลกลางของประชาชน ประกอบด้วยฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ
(๒) สภาบริหารรัฐบาล ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการพรรคเป็นคณะที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ
(๓) สภาทหารปฏิวัติมีเหมาเจ๋อตงเป็นประธาน และมีรองประธาน ๗ คน ทำหน้าที่ควบคุมการทหารทั้งหมด
(๔) หน่วยงานที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย ได้แก่ ศาลสูงสุด และสำนักงานอัยการ (Procurator General’s Office)
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สาธารณรัฐประชาชนจีนจะมีรัฐสภาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ก็ไม่นิยมการออกฎหมาย ส่วนใหญ่ใช้วิธีการกำหนดออกมาเป็นนโยบายแล้วมีคำสั่งควบคู่กันไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ จะต้องสอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาตลอดเวลา ถ้ามีการออกเป็นกฎหมายแล้วจะทำให้เปลี่ยนแปลงยาก นอกจากนี้ ชาวจีนเองไม่ชอบการใช้วิธีการออกกฎหมายควบคุม แต่จะใช้วิธีการสอนให้คนรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกเหมือนกับคำสั่งสอนของขงจื๊อ จึงไม่นิยมบังคับให้คนทำอะไรเพราะความกลัวกฎหมาย เมื่อเปลี่ยนเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ความคิดนี้ก็ยังคงมีอยู่ทำให้กฎหมายที่ออกมาใช้ในสาธารณรัฐประชาชนจีนในยุคนั้นมีน้อยฉบับ และกฎหมายที่ออกมาก็มีจุดประสงค์เพื่อจะชักชวนให้มีการกระทำบางประการเกิดขึ้นในรูปของการรณรงค์ของมวลชน
๒. ด้านการปรับปรุงเศรษฐกิจ มีการดำเนินการที่สำคัญ คือ
๒.๑ การปฏิรูปที่ดิน รัฐบาลออกกฎหมายปฏิรูปที่ดิน (Land Reform Law) เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๕๐ โดยนำที่ดินของเจ้าของที่ดินรายใหญ่ๆ ไปแจกจ่ายให้แก่ชาวนาที่ไม่มีที่ดินทำกินประมาณ ๓๐๐ ล้านคน ด้วยการจัดแบ่งที่ดินให้ประชาชนเท่าๆ กันครอบครอง ๓ใน 4 ไร่ เพื่อใช้ในการเกษตร แต่ต่อมารัฐบาลเห็นว่าการแบ่งที่ดินเป็นแปลงเล็กๆ นั้นไม่สามารถจะปรับปรุงให้ทันสมัยโดยใช้เครื่องจักรทำนาได้จึงให้มีการรวมนาเข้าด้วยกันเป็นผืนใหญ่ เรียกว่า การทำนารวม (Collective Farm) มีรูปแบบดังนี้ คือ
๒. ด้านการปรับปรุงเศรษฐกิจ มีการดำเนินการที่สำคัญ คือ
๒.๑ การปฏิรูปที่ดิน รัฐบาลออกกฎหมายปฏิรูปที่ดิน (Land Reform Law) เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๕๐ โดยนำที่ดินของเจ้าของที่ดินรายใหญ่ๆ ไปแจกจ่ายให้แก่ชาวนาที่ไม่มีที่ดินทำกินประมาณ ๓๐๐ ล้านคน ด้วยการจัดแบ่งที่ดินให้ประชาชนเท่าๆ กันครอบครอง ๓ใน 4 ไร่ เพื่อใช้ในการเกษตร แต่ต่อมารัฐบาลเห็นว่าการแบ่งที่ดินเป็นแปลงเล็กๆ นั้นไม่สามารถจะปรับปรุงให้ทันสมัยโดยใช้เครื่องจักรทำนาได้จึงให้มีการรวมนาเข้าด้วยกันเป็นผืนใหญ่ เรียกว่า การทำนารวม (Collective Farm) มีรูปแบบดังนี้ คือ
- จัดตั้งองค์การรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือกันและกัน
- ร่วมมือในระหว่างผู้ผลิต ด้วยการนำที่ดิน เครื่องมือในการผลิต และแรงงานมารวมกัน โดยถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของส่วนกลางร่วมกัน
- ผลประโยชน์ที่ได้จากการลงทุนก็จะตกอยู่แก่ส่วนรวม ไม่ใช่ถือว่าเป็นผลประโยชน์ของหุ้นส่วนใดๆ
ผลก็คือ ชาวนาจำนวนมากได้เข้าร่วมในระบบทำนาแบบนี้ ทำให้ผลิตผลการเกษตรของสาธารณรัฐประชาชนชนจีนเพิ่มขึ้น ปรากฏว่าผลิตผลทางการเกษตรเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๔.๕ ต่อปี ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนสามารถบรรเทาความอดอยากอันเนื่องมาจากประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้
๒.๒ การใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ โดยกำหนดเป็นแผนพัฒนา ๕ ปี ๓ ระยะ เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๓ และจะสิ้นสุดตามโครงการใน ค.ศ. ๑๙๖๗ ใน ค.ศ. ๑๙๕๓ รัฐบาลจึงประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ ๕ ปีแรก (ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๗) แผนพัฒนาฉบับแรกนี้ไม่ได้กำหนดรายละเอียดตามโครงการชัดเจน เพราะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตอย่างมาก เนื่องจากสาธารณรัฐประชาชนจีนขาดแคลนเงินทุนและช่างเทคนิค ตามแผนการระยะแรก สหภาพโซเวียตได้ให้ความช่วยเหลือหลายอย่างทางด้าน ผลจากการดำเนินการตามแผนพัฒนา ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๗ ปรากฏว่าผลิตผลทางด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๘ ต่อปี และผลิตผลทางการเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๕ แต่การเพิ่มของผลผลิตก็ไม่สมดุลกับอัตราการเพิ่มของพลเมืองที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว คือ ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๗ เพิ่มขึ้นถึงปีละ ๑๒ ล้านคน ทำให้ผลผลิตส่วนใหญ่ต้องนำไปใช้ในการเลี้ยงพลเมืองจีน
๒.๒ การใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ โดยกำหนดเป็นแผนพัฒนา ๕ ปี ๓ ระยะ เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๓ และจะสิ้นสุดตามโครงการใน ค.ศ. ๑๙๖๗ ใน ค.ศ. ๑๙๕๓ รัฐบาลจึงประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ ๕ ปีแรก (ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๗) แผนพัฒนาฉบับแรกนี้ไม่ได้กำหนดรายละเอียดตามโครงการชัดเจน เพราะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตอย่างมาก เนื่องจากสาธารณรัฐประชาชนจีนขาดแคลนเงินทุนและช่างเทคนิค ตามแผนการระยะแรก สหภาพโซเวียตได้ให้ความช่วยเหลือหลายอย่างทางด้าน ผลจากการดำเนินการตามแผนพัฒนา ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๗ ปรากฏว่าผลิตผลทางด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๘ ต่อปี และผลิตผลทางการเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๕ แต่การเพิ่มของผลผลิตก็ไม่สมดุลกับอัตราการเพิ่มของพลเมืองที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว คือ ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๗ เพิ่มขึ้นถึงปีละ ๑๒ ล้านคน ทำให้ผลผลิตส่วนใหญ่ต้องนำไปใช้ในการเลี้ยงพลเมืองจีน
๒.๓ การก้าวกระโดดไกล (Great Leap Forward ค.ศ. ๑๙๕๗-๑๙๖๐) การเร่งการผลิตครั้งใหญ่ด้วยวิธีการก้าวกระโดดไกล ก็คือ การเรียกร้องให้ประชาชนได้มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเพื่อจะได้สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง ตามโครงการนี้มีขั้นตอน คือ
(๑) การระดมมวลชน (Mass Mobilization) ประกอบด้วย
- การระดมแรงงานในชนบทให้มากที่สุด เพื่อทำการสร้างอุปกรณ์และปัจจัยพื้นฐานทางการเกษตร ได้แก่ การสร้างการชลประทาน การป้องกันน้ำท่วม และการปรับปรุงที่ดิน
- จะต้องเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในที่ดินแต่ละแห่งให้มากขึ้น โดยใช้แรงงานคนเป็นหลัก
- หาทางขยายอุตสาหกรรมเล็กๆ หรืออุตสาหกรรมพื้นบ้านในท้องถิ่นโดยใช้วัสดุและเครื่องมือง่ายๆ เพื่อผลิตสินค้าสำหรับการบริโภคและผลิตเครื่องมือสำหรับการเกษตร ส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และประเภทใหม่ๆ มุ่งผลิตสินค้าส่งไปขายต่างประเทศเพื่อนำเงินตราเข้าประเทศมาใช้ในการเกษตร
การเร่งระดมการผลิตได้กระทำทั้งกลางวันและกลางคืน ชาวจีนนับล้านๆ คนต่างทำงานในไร่นาตลอดกลางวันและทำงานโรงงานเวลากลางคืน จึงนับว่าชาวจีนต้องใช้แรงงานอย่างหนักในช่วงระยะนี้
(๒) การจัดตั้งระบบคอมมูน (Commune) โครงการคอมมูนเป็นอีกส่วนหนึ่งของโครงการก้าวกระโดดไกล โดยมีจุดประสงค์ คือ
- เพื่อจัดระบบการปกครองพื้นฐานให้มีความมั่นคงและมีประสิทธิภาพเพราะถือว่า เมื่อพื้นฐานหรือรากฐานแข็งแรงแล้วโครงสร้างทั้งหมดก็จะอยู่ได้ คอมมูนจึงมีลักษณะเหมือนรัฐบาลบริหารรับผิดชอบงานท้องถิ่น ประกอบด้วย งานทางด้านทหาร ความปลอดภัย การค้า การคลัง การเก็บภาษี การบัญชี สถิติ และการวางแผน ทุกๆ คนในคอมมูนจะทำงาน ๒๔ วันใน ๑ เดือน ทั้งชายและหญิง มีศูนย์กลางของคอมมูนรับเลี้ยงดูแลเด็ก การบริหารในคอมมูนจึงมีลักษณะเป็นการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด จำนวนครอบครัวในคอมมูนหนึ่งมีอยู่ประมาณ ๔,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ พันครอบครัว รวมประชากร ๒๐,๐๐๐ คน
- เพื่อให้มีการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจ จึงให้มีการผลิตขั้นพื้นฐานหน่วยละ ๔๐ ครอบครัว โดยที่แต่ละหน่วยการผลิตมีอิสระในการตัดสินใจเต็มที่ นอกจากนี้ยังยินยอมให้ชาวไร่ชาวนามีที่ดินขนาดเล็กเป็นของตนเอง เพื่อผ่อนคลายความกดดันทางจิตใจของประชาชนที่ไม่มีสิทธิจะทำการผลิตเล็กๆ น้อยๆ ของตนเองมาก่อนในระยะก่อนหน้านี้
(๓) การพัฒนาเศรษฐกิจการค้ากับต่างประเทศ หลังจากใช้นโยบายก้าวกระโดดไกล สาธารณรัฐประชาชนจีนเริ่มติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น และยังสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศด้อยพัฒนาอีกด้วย จากการที่สินค้าของสาธารณรัฐประชาชนจีนส่วนมากราคาถูก เนื่องจากค่าแรงต่ำเพราะกิจการทุกอย่างรัฐเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด จึงทำให้สามารถครองตลาดในฮ่องกงและในเอเชียอาคเนย์ได้ อย่างไรก็ตาม นโยบายก้าวกระโดดไกลทางเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนก็มีข้อบกพร่องที่นำไปสู่ปัญหาสำคัญ นั่นก็คือ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนอยู่ในขอบเขตและปริมาณที่จำกัด ทั้งนี้เพราะมุ่งให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม รวมทั้งการใช้แรงงานคน แต่ละทิ้งการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักและการวางแผนระยะยาวจากส่วนกลางอย่างจริงจัง
๓. ด้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การสร้างจิตสำนึกแบบสังคมนิยมให้แก่ประชาชน โดยกำหนดแนวทางดังนี้
๓. ด้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การสร้างจิตสำนึกแบบสังคมนิยมให้แก่ประชาชน โดยกำหนดแนวทางดังนี้
(ก) มุ่งให้ประชาชยอมรับและเข้าใจในระบอบการปกครอง แนวทางทางการเมืองที่ใช้อยู่ โดยให้รู้ถึงขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์
(ข) สร้างจิตสำนึกของประชาชนให้ตระหนักถึงความเหนือกว่าของระบอบสังคมนิยม และความเลวร้ายของระบอบทุนนิยม
(ค) จัดระบอบการศึกษาให้กระจายออกไปอย่างทั่วถึงยังบริเวณโรงงาน เหมืองแร่ และไร่นา โดยเป็นการให้การศึกษาหลังชั่วโมงการทำงาน เพื่อขจัดความไม่รู้หนังสือ และเสริมความรู้พื้นฐานสำหรับการผลิต อันจะทำให้ประชาชนมีโอกาสเรียนรู้มากขึ้นและปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น
(ง) เปิดโอกาสให้กับลูกหลานกรรมกรชาวนา ซึ่งมีจำนวนมากกว่าร้อยละ ๕๐ ของนักศึกษาทั้งหมดได้เข้าเรียนหนังสือโดยรัฐบาลเป็นฝ่ายสนับสนุน ในขณะเดียวกัน นักศึกษาปัญญาชนก็ต้องได้รับการฝึกให้ใช้แรงงานที่นับเป็นขั้นตอนสำคัญของการสร้างสังคมในระบอบใหม่
การกำหนดนโยบายต่างประเทศ ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาเหตุหลายประการที่เป็นปัจจัยในการกำหนดแนวทางความสัมพันธ์กับต่างประเทศ คือ
ก. ประสบการณ์ในอดีตที่ถูกต่างชาติเอารัดเอาเปรียบ ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนมีความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนต้องดำเนินนโยบายที่จะต้องเลือกประเทศที่มีแนวโน้มจะเป็นมิตรกับตนอย่างแท้จริง
ข. ความจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูประเทศหลังสงครามกลางเมือง ทำให้สาธารณรัฐประชาชนจีนต้องการมีความสัมพันธ์กับมิตรประเทศที่อาจให้ความช่วยเหลือตนได้ ใน ค.ศ. ๑๙๔๙ สาธารณรัฐประชาชนจีนก็ต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากธรรมชาติอย่างรุนแรง ได้แก่ น้ำท่วม ความแห้งแล้ง ไต้ฝุ่น พายุลูกเห็บ แมลงศัตรูพืช และโรคระบาดในสัตว์ประเภทโค กระบือ ซึ่งเกิดขึ้นติดต่อกันมาตลอดฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง ที่ประมาณความเสียหายได้ว่าประชาชนจีนจำนวน ๔๐ ล้านคน ตกอยู่ในภาวะความเดือดร้อนในระดับต่างๆ กัน และภัยพิบัติเหล่านี้ทำให้จำนวนผลิตผลประเภทอาหารของชาติต้องลดลงอย่างมาก สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงต้องหามิตรประเทศอันอาจเป็นแหล่งที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้
ค. สาธารณรัฐประชาชนจีนดำเนินนโยบายต่างประเทศในลักษณะใกล้ชิดสนิทสนมกับประเทศต่างๆ ที่ให้การรับรองรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของตน ผลจากการที่นานาชาติรับรองรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์สามารถยึดแผ่นดินใหญ่ได้ทั้งประเทศ รัฐบาลสหภาพโซเวียตจึงประกาศรับรองรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ทันที และกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ ก็ประกาศรับรองเช่นเดียวกัน ส่วนประเทศอื่นที่ได้ให้การรับรองก็มี อินเดีย และพม่า รับรองรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ปลาย ค.ศ. ๑๙๔๙ ส่วนชาติอื่นที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อมาคืออัฟกานิสถาน ศรีลังกา เดนมาร์ก ฟินแลนด์ อิสราเอล อินโดนีเซีย เนเธอร์แลนด์ นอรเว ปากีสถาน สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนมหาอำนาจตะวันตกประเทศแรกที่รับรองจีนคอมมิวนิสต์ คือ อังกฤษ เพราะอังกฤษต้องการที่จะคุ้มครองผลประโยชน์ของตนทีมีอยู่มากมายในสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้งฮ่องกงซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษด้วย ตลอดจนต้องการความสะดวกในการค้าขายกับจีนคอมมิวนิสต์
เด็กๆในคอมมูนยืนคอยต้อนรับประธานเหมา |
คำอธิบายศัพท์
คอมมูน คือ องค์การเอนกประสงค์ซึ่งรวมหน่วยการเมือง การปกครอง และการบริหารทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทำหน้าที่ดูแลการดำเนินการทุกอย่างเพื่อการอยู่ร่วมกันของประชาชนในชุมชน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร การศึกษา วัฒนธรรม และสาธารณสุข และยังมีธนาคาร โรงเรียน โรงพยาบาล ร้านค้า ศาลาประชาชน และหน่วยฝึกทหารอีกด้วย นอกจากนั้น คอมมูนยังมีหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างรัฐบาลกับสมาชิกของคอมมูนในด้านประสานนโยบาย เผยแพร่และให้การศึกษาลัทธิการเมือง ดูแลความสงบสุขของสมาชิก ฝึกหัดการทหาร และเก็บภาษีส่งให้รัฐบาล เป้าหมายสำคัญก็เพื่อเน้นพัฒนาการเกษตร ในอันที่จะขจัดความเหลื่อมล้ำระหว่างฐานะของเกษตรกรในชนบทกับกรรมการและมวลชนในเมือง
................................................................................................................................................................................................................
คำถามท้ายบท เรื่อง ประเทศจีนหลังสงครามกลางเมือง
1. หลังสงครามกลางเมือง ประเทศจีนมีการจัดการปกครองภายในประเทศอย่างไร อธิบาย
2. หลังสงครามกลางเมือง ประเทศจีนมีการกำหนดนโยบายต่างประเทศ อย่างไร อธิบาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น