วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน คศ.1966-1976


ใบความรู้เรื่อง
การปฏิวัติวัฒนธรรมในสาธารณรัฐประชาชนจีน  ค.ศ. ๑๙๖๖-๑๙๗๖  
                การปฏิวัติวัฒนธรรม  (Cultural Revolution)  ในสาธารณรัฐประชาชนจีนนับเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งเหตุการณ์หนึ่ง  นับตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะปกครองสาธารณรัฐประชาชนจีน  ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของประชาชน  โดยมีเหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำใน  ค.ศ. ๑๙๔๙  ก่อนเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมใน  ค.ศ. ๑๙๖๖  สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ใช้ระบอบการปกครองนี้มาเป็นเวลา  ๑๗  ปี  ตลอดระยะเวลาดังกล่าวปรากฏชัดว่าไม่สามารถแก้ปัญหาบางด้านที่เป็นผลจากระบอบการปกครองเดิมในสมัยรัฐบาลก๊กมินตั๋งให้หมดสิ้นไปได้  เช่น  ระบอบข้าราชการอิทธิพล  ระบอบนายทุน  และยิ่งกว่านั้น  ก็คือ  การที่สาธารณรัฐประชาชนจีนและสหภาพโซเวียตมีความขัดแย้งกันมากขึ้น  เมื่อ สตาลินผู้นำของสหภาพโซเวียตถึงแก่กรรมใน  ค.ศ. ๑๙๕๓  ความขัดแย้งนี้มีสาเหตุจากการที่เหมาเจ๋อตงไม่พอใจสหภาพโซเวียตที่มีนโยบายปฏิบัติออกนอกแนวทางอุดมการณ์การปกครองประเทศคอมมิวนิสต์  โดยใช้นโยบายใหม่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนโจมตีว่าเป็น  ลัทธิแก้ (Revisionism)  ซึ่งในทัศนะของสาธารณรัฐประชาชนจีนถือว่าเป็นการส่งเสริมระบอบทุนนิยม  ทั้งนี้  เพราะสหภาพโซเวียตเน้นว่า  วิธีการปฏิวัติโลกให้เป็นคอมมิวนิสต์นั้นไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการรุนแรงเพียงประการเดียวในการปฏิวัติสังคม
                สำหรับเหมาเจ๋อตงมีความยึดมั่นว่า  การปฏิวัติในประเทศต่างๆ  นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  เพราะรัฐบาลนายทุนที่ปกครองประเทศต่างๆ  จะไม่ยอมสละอำนาจให้คอมมิวนิสต์โดยไม่คิดต่อสู้  สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงสนับสนุนการปฏิวัติในประเทศต่างๆ  โดยเฉพาะประเทศที่เพิ่งได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่  ๒  เช่น  ด้วยการส่งอาวุธและส่งเงินไปใช้ขบวนการปฏิวัติในเอเชีย  แอฟริกา  และละตินอเมริกา  เพื่อล้มล้างรัฐบาลซึ่งตนถือว่าเป็นตัวแทนของระบอบนายทุน
(ลัทธิแก้  เป็นถ้อยคำที่ฝ่ายเหมาเจ๋อตงและกลุ่มสี่คนใช้เรียกโจมตีฝ่ายที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจโดยการเปิดรับเทคโนโลยี  และวิธีการของประเทศทุนนิยมตะวันตกมาใช้  กลุ่มของเหมาเจ๋อตงซึ่งเน้นทำการปฏิวัติตลอดกาล  เพื่อให้บรรลุถึงสังคมคอมมิวนิสต์ในอุดมคติ  ต่างพากันกล่าวหาพวกนี้ว่า  เป็นลัทธิแก้หรือเป็นพวกฝ่ายขวาที่เดินตามแนวทางประเทศทุนนิยม  เนื่องจากกลุ่มนี้เน้นปรับเอาหลักการบางอย่างของประเทศทุนนิยมมาใช้  เช่น  การให้มีการค้าขายส่วนตัวบางประการ  ให้มีเงินตอบแทนพิเศษหรือเงินโบนัส  เป็นต้น  สิ่งต่างๆ  เหล่านี้ทำให้กลุ่มเหมาเจ๋อตงเกรงไปว่าจะนำไปสู่การฟื้นตัวของลัทธิทุนนิยมขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีน  จึงทำการโจมตีต่อต้านอย่างขนานใหญ่  เช่น  ทำการปฏิวัติวัฒนธรรม  เป็นต้น  นอกจากนั้น  เหมาเจ๋อตงยังได้โจมตีกลุ่มนี้อีกว่า  เป็นกลุ่มที่ต้องการให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเน้นแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ  มากกว่าการเผชิญหน้ากับสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนาม  หรือเผชิญหน้ากับสหภาพโซเวียต  ด้วยเหตุนี้จึงต้องการสันติภาพหรือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับประเทศทุนนิยม  เช่นเดียวกับนโยบายของสหภาพโซเวียตในสมัยครุสซอฟ  ที่ถูกเหมาเจ๋อตงโจมตีว่าถือตามลัทธิแก้)
ก.  สาเหตุสำคัญของการปฏิวัติวัฒนธรรม  มีทั้งสาเหตุภายในและภายนอก  ดังนี้
                ๑.  เนื่องจากเหมาเจ๋อตงมีความคิดขัดแย้งต่อนโยบายคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต  โดยเห็นว่าผิดไปจากแนวทางของระบอบคอมมิวนิสต์ที่แท้จริง  และที่สำคัญคือ  นโยบายแบบสหภาพโซเวียตที่มีผลต่อสถานการณ์ทางการเมืองภายในสาธารณรัฐประชาชนจีน  นั่นคือ
                        -  เริ่มมีกลุ่มผู้บริหารระดับสูงบางกลุ่มมีแนวความคิดต้องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแนวทางอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์  กลุ่มผู้นำของสาธารณรัฐประชาชนจีนกลุ่มนี้มี  ประธานาธิบดีหลิวซ่าวฉี (Liu Shao Ch’i)  เป็นผู้นำ  ร่วมด้วยเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์  เติ้งเสี่ยวผิง (Teng Hsiao P’ing)  บุคคลกลุ่มนี้ได้คัดค้านเหมาเจ๋อตงว่าเป็นผู้ที่ยึดมั่นในทฤษฎีและหลักการของตนมากเกินไป  เหมาเจ๋อตงจึงไม่พอใจและถือว่ากลุ่มนี้มีแนวความคิดแบบสหภาพโซเวียต  ซึ่งเป็นลัทธิแก้หรือเดินตามแนวทางทุนนิยม
                        -  เกิดจากการขัดแย้งและการต่อสู้ทางการเมือง 
                        -  จากการที่บรรดาผู้มีความรู้หรือปัญญาชนจำนวนมากของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งมีความตื่นตัวทางการเมือง  ได้ร่วมกันจัดตั้งขบวนการที่ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ปัญญาชนได้แสดงความคิดเห็นโดยกว้างขวาง  เช่น  ขบวนการบัวบานบนแผ่นดินแดง  และขบวนการดอำไม้ทั้งร้อยดอกบานสะพรั่ง  โดยมุ่งให้ความสนใจต่อการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ  ทางด้านอุดมการณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์ในทางสากล 
                ๒.  เหมาเจ๋อตงเกิดความไม่แน่ใจในอนาคตการปฏิวัติของสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วยเกรงว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งชนะในสงครามกลางเมืองจะกลายเป็นฝ่ายแพ้ในการสร้างชาติ  จึงผลักดันให้ประชาชนทำการปฏิวัติจิตสำนึกทางการเมือให้ตระหนักในความสำคัญของการปฏิวัติตลอดกาล  เพื่อต่อต้านระบอบทุนนิยมที่เลวร้าย  โดยยึดมั่นในหลักการและคำสอนของเหมาเจ๋อตงเป็นสำคัญ
                ๓.  เนื่องจากเหมาเจ๋อตงถูกโจมตีในเรื่องความล้มเหลวของขบวนการก้าวกระโดดไกล  จึงหันมาทำการปฏิวัติวัฒนธรรม  เพื่อให้ประชาชนให้การสนับสนุนตนตามเดิมเพราะจากโครงการก้าวกระโดด
ข.  จุดมุ่งหมายของการปฏิวัติวัฒนธรรม
                แนวทางการดำเนินการแบ่งได้เป็น  ๔  ด้าน  คือ
๑.      จะต้องยุติการต่อสู้และความขัดแย้งทางการเมืองในระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
๒.    ป้องกันไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิด  หรืออุดมการณ์ที่เดินตามแนวทางลัทธิแก้ของสหภาพโซเวียต
๓.     ทำให้ปัญญาชนมีความเข้าใจในลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างถูกต้องและรวมพลังกันให้ปฏิบัติไปในแนวทางดังกล่าวร่วมกัน
๔.     จะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนเห็นว่า  การปฏิวัตินั้นเป็นแนวทางสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่างๆ  ได้  เพราะฉะนั้นประชาชนจะต้องมีจิตใจปฏิวัติที่เข้มข้นมีความจริงใจ  และมีศรัทธาต่อพรรคคอมมิวนิสต์เป็นอันดับแรก
ค.  การดำเนินการปฏิวัติวัฒนธรรม
                การปฏิวัติวัฒนธรรมแบ่งออกได้เป็น  ๒  ระยะ  คือ  ในระยะแรกระหว่าง  ค.ศ. ๑๙๖๖ - ๑๙๖๗  และระยะที่  ๒  ระหว่าง  ค.ศ. ๑๙๖๗ - ๑๙๗๑  รวมระยะเวลาการปฏิวัติวัฒนธรรมได้ประมาณถึง  ๖  ปี  นับว่าเป็นการปฏิวัติที่ใช้เวลายาวนานทีเดียว  การปฏิวัติวัฒนธรรมในระยะ  ๒  ปีแรก  (ค.ศ. ๑๙๖๖ - ๑๙๖๗)  เป็นช่วงของการดำเนินการปฏิวัติอย่างรุนแรง  โดยมีขบวนการเรดการ์ด (Red Guards)  เป็นผู้ดำเนินการ  มีทั้งการทำลายทรัพย์สินของรัฐและทำร้ายเยาวชนที่ประพฤติตัวแบบชนชั้นกลาง  แม้แต่ชื่อถนนหนทางที่มีลักษณะเจ้าขุนมูลนายก็มีการเปลี่ยนแปลงใหม่  บรรดาครูบาอาจารย์และข้าราชการระดับต่างๆ  จะต้องอยู่ภายใต้คำวินิจฉัยของขบวนการเรดการ์ดว่า  มีการกระทำอันใดไปในทางรับใช้ชนชั้นนายทุนและชนชั้นกลางหรือไม่  นับว่าในระหว่างนี้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเปลี่ยนแปลงไปหมด  รวมทั้งการดำเนินชีวิตของประชาชน  นอกจากนั้นยังมีการสร้างกฎเกณฑ์สำหรับระบบสังคมใหม่  โดยการปฏิรูปโครงสร้างและองค์ประกอบของสาขา  พรรคทุกท้องถิ่นใหม่อีกด้วย  ส่วนในระยะที่  ๒  (ค.ศ. ๑๙๖๗ -๑๙๗๑)  เป็นการปฏิบัติงานต่อเนื่องกันเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระยะแรกเข้าสู่แนวทางของการปฏิวัติตามจุดมุ่งหมาย  โดยการดำเนินการอยู่ในความรับผิดชอบของกลุ่มสี่คน (Gang of Four)
                  ขั้นตอนของการดำเนินงานมีดังนี้คือ
                ๑.  การกวาดล้างผู้ที่มีความคิดต่อต้าน 
                ๒.  ควบคุมด้านการทหารให้อยู่ในอำนาจ    ยกเลิกการใช้เครื่องแบบและเครื่องหมาย  เป็นต้น  เพื่อให้เกิดความเสมอภาค  และเน้นการสอนให้ทุกกองทัพสนใจการศึกษาความคิดของเหมาเจ๋อตง  เพื่อให้มีจิตใจที่ปฏิวัติ
                ๓.  เหมาเจ๋อตงได้จัดตั้งขบวนการเรดการ์ดขึ้นใน  ค.ศ. ๑๙๖๖  ขบวนการนี้ประกอบด้วยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาและนิสิตนักศึกษา  โดยมีอุดมการณ์เพื่อรักษาแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ให้คงอยู่ตลอดไป  เหมาเจ๋อตงเน้นสั่งสอนให้คนเหล่านี้มีความคิดในการปฏิวัติอยู่ตลอดเวลา  พร้อมทั้งให้การสนับสนุนพวกเยาวชนเรดการ์ดโจมตีกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคและอุดมการณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์  ภายในเวลาเพียง  ๑  ปี  ขบวนการนี้มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง  ๑๐  ล้านคน  คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้รับรองขบวนการนี้ให้เข้ามีส่วนร่วมรับผิดชอบทางการเมืองของประเทศ
                ๔.  การจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อดำเนินการปฏิวัติวัฒนธรรม  คณะกรรมการนี้มีทั้งหมด  ๑๗  คน    ผู้ที่มีบทบาทมากคือ  เฉินป๋อต๋า (Ch’en Po Ta)  รองลงมาคือ  กลุ่มสี่คน  ซึ่ง  ๑  ใน  ๔  คนนี้มีนางเจียงชิง (Chiang Ch’ing)  ภรรยาของเหมาเจ๋อตงรวมอยู่ด้วย  ในกลุ่มสี่คนนี้  จางชุนเฉียว (Chang Chun Chiao)  มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการแผนกโฆษณาของคณะกรรมการเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. ๑๙๖๕  เจียงชิงเป็นรองประธานคนที่  ๓  ของสภาประชาชนแห่งชาติใน  ค.ศ. ๑๙๖๔ 
เหยาเหวิน หยวน
(Yao Wen Yuan)  ทำงานเขียนเกี่ยวกับอุดมการณ์และวัฒนธรรมแต่ไม่มีตำแหน่งบริหารใดๆ 
หวางหงเหวิน
(Wang Hong Wen)  เป็นผู้นำคนสำคัญในการชักชวนเรียกร้องให้กรรมการเข้ายึดโรงงาน  การขึ้นมามีอำนาจของกลุ่มสี่คนนั้นเป็นผลจากการที่เหมาเจ๋อตงต้องการคนที่มีแนวความคิดสนับสนุนตนจริงๆ  ทางด้านอุดมการณ์และวัฒนธรรมเพื่อเผยแพร่ความคิด 
(ขบวนการเรดการ์ด  เป็นขบวนการที่เริ่มมีขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีนใน  ค.ศ. ๑๙๖๖  และสลายตัวไปใน  ค.ศ. ๑๙๖๙  ขบวนการนี้ประกอบด้วย  นักเรียนระดับมัธยมศึกษาและนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ  ที่มีอุดมการณ์เพื่อรักษาแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์  โดยได้ร่วมกันดำเนินการต่อต้านการฟื้นฟูของลัทธิทุนนิยม  ด้วยการปฏิวัติวัฒนธรรม  มาตรการที่ใช้  คือ  การปลุกระดมให้มีการปฏิวัติทั่วประเทศ  เพื่อมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยความคิดและวัฒนธรรมใหม่  ทำให้ขบวนการนี้มีฐานะเป็นองค์กรปฏิวัติ  โดยมีสมาชิกจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเข้าร่วมด้วย  ปรากฏว่าขบวนการนี้ได้แผ่ขยายจากโรงเรียนต่างๆ  ไปยังสังคม  และกระจายไปทั่วประเทศจนกลายเป็นพลังสำคัญในการปฏิวัติวัฒนธรรม  การที่ขบวนการนี้ได้เข้ามีส่วนร่วมในการปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนสิงหาคม  ค.ศ. ๑๙๖๖  ทำให้การปฏิวัติมีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก)
 ผลของการปฏิวัติวัฒนธรรม
  มีผลเกิดขึ้นแบ่งได้กว้างๆ  เป็น  ๒  ด้าน  คือ
                ๑.   ผลต่อสถานการณ์ภายในประเทศ
                ๒.  ผลต่อสถานการณ์ภายนอกประเทศ
                ๑.   ผลต่อสถานการณ์ภายในประเทศ   การปฏิวัติวัฒนธรรมที่มีจุดเริ่มต้นจากความขัดแย้งของกลุ่มผู้นำ  ได้ก่อให้เกิดการโจมตีและกำจัดผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ  ตลอดจนการทำลายความสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์  ซึ่งเป็นศูนย์กลางรวมอำนาจทางการเมืองของสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างกว้างขวาง  ยิ่งกว่านั้น  ยังได้ก่อให้เกิดขบวนการรวมตัวของประชาชนที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทุกด้านในประเทศ  เพื่อให้สาธารณรัฐประชาชนจีนมีระบบสังคมใหม่ที่เป็นระบอบสังคมนิยมที่ถูกต้อง  ซึ่งมีเหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง
พระราชวังต้องห้าม กู้กง
                ๒.  ผลต่อสถานการณ์ภายนอกประเทศ       ในระดับความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจในกรณีของสหภาพโซเวียต  สาธารณรัฐประชาชนจีน  มีนโยบายต่อต้านสหภาพโซเวียตอย่างเด่นชัดมาก  ในสมัยการปฏิวัติวัฒนธรรมพวกเยาวชนเรดการ์ดได้โจมตีสหภาพโซเวียตว่าเป็นพวกลัทธิแก้  และเป็นนักสังคมนิยมที่ขยายอำนาจโดยมุ่งขยายดินแดน  เช่น  การที่สหภาพโซเวียตเข้ายึดครองเชโกสโลวะเกีย  ในด้านความสัมพันธ์กับประเทศด้อยพัฒนานั้น  สาธารณรัฐประชาชนจีนในระยะการปฏิวัติวัฒนธรรม  มีนโยบายเด่นชัดที่สนับสนุนขบวนการต่อสู้ด้วยอาวุธในประเทศด้อยพัฒนา  ตามความคิดเกี่ยวกับการปฏิวัติของเหมาเจ๋อตง  ที่ต้องใช้วิธีการรุนแรงในการเปลี่ยนแปลงสังคม  การต่อสู้ในแบบสงครามกองโจรจึงเกิดขึ้นในบางประเทศ  เช่น  การสนับสนุนเวียดนามเหนือทำสงครามกองโจรในเวียดนามใต้  ใน  ค.ศ. ๑๙๖๘  และการสนับสนุนให้กลุ่มคนผู้นิยมคอมมิวนิสต์จีนในพม่าล้มรัฐบาลนายพลเนวินเพื่อให้พรรคอมมิวนิสต์พม่าขึ้นมีอำนาจแทน  การสนับสนุนกองกำลังเขมรแดงในกัมพูชาซึ่งมีพอลพตเป็นผู้นำล้มรัฐบาลของเจ้านโรดมสีหนุและในกรณีประเทศไทย  สาธารณรัฐประชาชนจีนก็ให้การสนับสนุนแก่ขบวนการปฏิวัติในประเทศไทย  ที่เรียกตัวเองว่า  พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  เป็นต้น
....................................................................................................................................................................
คำถามท้ายบท เรื่อง การปฏิวัติวัฒนธรรม  (Cultural Revolution)  ในสาธารณรัฐประชาชนจีน
1. ลัทธิแก้  หมายถึง.........................................
2.สาธารณรัฐประชาชนจีนจึงสนับสนุนการปฏิวัติในประเทศแถบใดบ้างโดยวิธีการใด
3.ปัญญาชนจำนวนมากของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งมีความตื่นตัวทางการเมือง  ได้ร่วมกันจัดตั้งขบวนการที่ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ปัญญาชนได้แสดงความคิดเห็นโดยกว้างขวาได้แก่ขบวนการใดบ้าง มีจุดมุ่งหมายอย่างไร
4. จุดมุ่งหมายในการปฏิวัติวัฒนธรรมได้แก่อะไรบ้าง
5. จีนใช้เวลาในการปฏิวัติวัฒนธรรม กี่ปี จากปี คศ.ใดถึงปี คศ.ใด
6.กลุ่มสี่คน ประกอบด้วยใครบ้าง แต่ละคนมีตำแหน่งใด  ตั้งขึ้นมาด้วยจุดประสงค์ใด
7.ขบวนการเรดการ์ด  หมายถึงคนกลุ่มใด มีวิธีการทำงานอย่างไร มีจุดมุ่งหมายใด
8.ผลของการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนภายในประเทศเป็นอย่างไรอธิบาย
9.ผลของการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนภายนอกประเทศเป็นอย่างไรอธิบาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น